ทานกลูต้าไธโอนให้ปลอดภัยและได้ผล

ทานกลูต้าไธโอนให้ปลอดภัยและได้ผล

ในวันนี้เรามาไขข้อข้องใจเรื่องของกลูต้าไธโอน (Glutathione) กันค่ะ สาวๆ หนุ่ม ที่อยากจะขาวก็สงสัยกันว่ากลูต้าไธโอนนั้นช่วยให้ผิวขาวได้จริงมั้ย เรามาสอบถามคุณหมอ แพทย์หญิงนลินี ไพบูลย์กันค่ะ

กลูต้าไธโอนคืออะไร
กลูต้าไธโอนนั้นคือเนเชอรัลแอนตี้ออกซิแดนท์ (Natural Antioxidant) หรือสารต้านอนุมูลอิสระตามธรรมชาติ ไม่ใช่สารสังเคราะห์ทางเคมีอย่างที่เราคิดกัน หมายถึงว่าในร่างกายของคนเรานี้ในเซลล์มีกลูต้าไธโอน และร่างกายของเราสามารถสร้างเองได้ ในอาหารก็มีสารกลูต้าไธโอน ไม่ว่าจะเป็น ไข่ นม ผัก ผลไม้ บร็อคโคลี่ ผักโขม หน่อไม้ฝรั่ง มีทั้งนั้น

กลูต้าไธโอนนั้นมีหน้าที่สำคัญอยู่สามอย่าง
1. เป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ต้านความเสื่อม
2. ช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน หรืออิมมูน Immune
3. เป็นตัว detoxification คือเป็นตัวช่วยทำลายสารพิษให้กับตับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตับที่ถูกทำลายด้วยแอลกอฮอล์จากการดื่มสุรา หรือคนที่ทานยาพาราเซตามอลมากๆ

จริงๆ แล้ว ในการนำกลูต้าไธโอนมาใช้เริ่มต้นนั้นไม่ได้นำมาทำให้ขาว แต่นำมาใช้ในทางการแพทย์ โดยนำมารักษาคนไข้ที่เป็นพาร์คินสัน ผู้สูงอายุที่มีอาการมือสั่น เนื่องมาจากมีการค้นพบว่าผู้ป่วยโรคพาร์คินสันมีระดับกลูต้าไธโอนในสมองต่ำมาก ต่อมาก็มีนำมาใช้เพื่อช่วยในผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย เพราะว่าระดับของกลูต้าไธโอนก็ต่ำด้วย แพทย์ได้นำมาฉีดเพื่อรักษาโรคเหล่านี้ แต่ทีนี้มีการสังเกตว่าคนไข้เหล่านี้เมื่อฉีดกลูต้าไธโอนเข้าไปแล้วผิวขาวขึ้น เลยได้มีการศึกษาเจาะลึกลงไปอีกก็พบว่า กลูต้าไธโอนมีฤทธิ์ต่อต้านเอนไซม์ไทโรซิเนส (Tyrosinase) ซึ่งเอนไซม์ตัวนี้เป็นตัวสร้างเม็ดสีผิว เม็ดสีผิวของคนเรานั้นมีอยู่สองชนิดคือ เม็ดสีน้ำตาลดำ เป็นตัวที่ทำให้ผิวมีสีเข้ม กับเม็ดสีน้ำตาลอ่อนปนสีชมพูหรือสีออกส้มซึ่งในคนยุโรปหรือคนที่อยู่แถบหนาวจะมีเม็ดสีนี้ที่ทำให้ผิวดูขาว สารกลูต้าไธโอนนี้จะไปยับยั้งการสร้างเม็ดสีน้ำตาลดำ ส่งผลให้คนไข้ที่ได้รับสารกลูต้าไธโอนนี้จะมีสีผิวที่ขาวขึ้น

ในปัจจุบันการนำกลูต้าไธโอนมาใช้มีหลากหลายวิธี รวมถึงการฉีด ซึ่งเป็นวิธีการที่อันตรายมากเพราะเป็นการฉีดเข้าเส้นเลือด ในการฉีดยาใดๆ ก็ตามไม่ว่าจะเป็นยาอะไรนั้นไม่ควรจะฉีดในสถานที่ที่ไม่ปลอดภัยและไม่ควรจะฉีดกับบุคคลากรที่ไม่มีความรู้หรือผู้เชี่ยวชาญเพียงพอ ซึ่งตัวคนที่ถูกฉีดกลูต้าไธโอนเข้าไปนั้นอาจจะแพ้ตัวกลูต้าไธโอนเอง หรือแพ้สารวัตถุกันเสียที่อยู่ในตัวยา ซึ่งถ้าคนที่แพ้มากๆ แล้วได้รับยาไปในปริมาณมากๆ อย่างรวดเร็วอาจจะทำให้เกิดการช็อก อาจจะถึงขั้นเสียชีวิตได้ ซึ่งมีรายงานในต่างประเทศว่ามีคนเคยฉีดกลูต้าไธโอนแล้วไตวาย ซึ่งทางองค์การอาหารและยา หรือ อย.ของประเทศไทยไม่รับรองการฉีดกลูต้าไธโอน

กลูต้าไธโอนในรูปแบบของการรับประทานนั้น ทางอย.ของประเทศไทยนั้นอนุญาต แต่ว่าก็ต้องอยู่ในปริมาณที่เหมาะสม ที่แต่ละโดสไม่เกิน 250 มิลลิกรัม ซึ่งในการทานที่เหมาะสมก็คือวันนึงไม่ควรเกิน 500 มิลลิกรัม และให้แบ่งทานโดยต่อหนึ่งครั้งไม่ควรเกิน 250 มิลลิกรัม ซึ่งการทานเป็นระยะเวลานานๆ นั้นยังไม่มีรายงานว่าเป็นอันตรายใดๆ และมีการวิจัยของทางคณะแพทย์ศาสตร์จุฬา โดยใช้นิสิตแพทย์ 60 คน เป็นอาสาสมัครทานกลูต้าไธโอน โดยให้ทานเวลาเช้าเป็นปริมาณ 250 มิลลิกรัม เวลาเย็น 250 มิลลิกรัม ทานต่อเนื่องไปประมาณ 4 อาทิตย์ ก็พบว่ามีสีผิวขาวขึ้นจากการวัดด้วยเครื่องตรวจค่าสีผิว

คนที่รับประทานกลูต้าไธโอนอย่างปลอดภัยนี้ไม่ใช่ว่าจากผิวดำมาเป็นผิวขาวจั๊ว แต่ก็จะมีผิวที่ขาวขึ้นมาได้ประมาณ 2 เลเวล คือผิวจะดูสว่างขึ้นได้ด้วยการที่เม็ดสีผิวชนิดน้ำตาลดำนั้นจะน้อยลง แล้วเม็ดสีผิวชนิดน้ำตาลอ่อนอมชมพูมันมากขึ้น คือดูผิวใสและผ่องขึ้น

ที่มาจากรายการสโมสรสุขภาพ



ปรับผิวขาวขึ้น สุขภาพดี
รับเม็ดสีเมลานิน ด้วยกลูต้าแท้จากประเทศญี่ปุ่น
ลดสิว และ ปัญหาผด ผื่น
ช่วยลด และ ป้องกันปัญหา ฝ้า
ต่อต้านอนุมูลอิสระ ริ้วรอยช่วยลดปัญหาผิวด่าง กระด้าง
คืนความชุ่มชื่น ให้ผิวเด้งอิ่มน้ำ ดูขาวใส มีออร่า
รอยหลุม แผลเป็น จากสิวดูตื้นขึ้น ช่วยให้ผิวลื่น นุ่ม น่าสัมผัส

รีวิวจากลูกค้าที่ทานแล้ว
"กินมาก็เยอะน่ะมาเจอตัวนี้โอเคมากเลย เปิดกระปุกมาก็หอมมากจากที่เป็นคนผิวแห้งๆไม่ชอบทาครีมกินตัวนี้ไปรู้สึกชุ่มชื่นขึ้นประทับใจมากคะฝ่าลดลงแต่งหน้าแล้วดูไม่ลอยด้วยนะ ใช้ดีเลยมาบอกต่อนะคะ"

"ผิวลื่นขึ้นแต่งหน้าติด แก้มมีเลือดฝาดด้วยชอบมากคะ"

"ขาวไวมากจุดด่างดำจางลงเร็วด้วย เป็นกลูต้าที่กินแล้วดีสุดๆ กลิ่นหอม"

"ขาวไวมากคะไม่ได้ขาวแบบโบะๆด้วยคือผิวขาวแบบสดใสดูอมชมพูด้วยแก้มออกชมพูมีเลือดฝาด แถมสิวยุบเร็วมากคะกิน2เม็ดก่อนนอนวันที่มีสิวตื่นมาสิวยุบเลย และหอมด้วยเป็นตัวที่กินแล้วดีมี่สุดที่กินมาเลยคะ" 

"ดีคะ รุ้สึกผิวนุ่มชุ่มชื่นขึ้นมากเลยคะ"

ดูรีวิวเพิ่มเติมคลิกเลย

กลูต้าไธโอนทำให้ผิวขาวจริงหรือ

กลูต้าไธโอนทำให้ผิวขาวจริงหรือ
กลูต้าไธโอน เป็นสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกายที่มีกำลังสูงเมื่อเทียบกับวิตามินซีหรือวิตามินอี จึงมีผู้นำกลูต้าไธโอนมาใช้เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารหรือใช้ฉีดเพื่อให้ผิวขาว โดยอาศัยกลไกการออกฤทธิ์ดังนี้


กลูต้าไธโอนสามารถยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส (Tyrosinase) และส่งผลให้เม็ดสีของผิวหนังเปลี่ยนจากเม็ดสีน้ำตาลดำ (ยูเมลานิน พบมากในคนเอเชียและนิโกร) เป็นเม็ดสีชมพูขาว (ฟีโอเมลานิน พบในคนตะวันตก) ซึ่งการกินยาหรือฉีดสารกลูต้าไธโอนมีผลทำให้สีผิวจางลงในระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น เมื่อหยุดการใช้ สีผิวก็จะกลับมาคล้ำเช่นเดิม ดังนั้นก่อนที่จะรับสารกลูต้าไธโอนเข้าร่างกาย ไม่ว่าจะกินหรือฉีด จึงควรศึกษาข้อมูลให้ละเอียดและคำนึงถึงผลข้างเคียงที่มีต่อสุขภาพ เพราะอันที่จริงการมีผิวคล้ำก็มีข้อดีเช่นกัน คือสามารถป้องกันแสงยูวีได้ และที่สำคัญคนที่มีผิวคล้ำมีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนังน้อยกว่าคนผิวขาวด้วยซ้ำไป

ลักษณะการใช้กลูต้าไธโอนเพื่อผิวขาว

กลูต้าไธโอนที่พบในท้องตลาดส่วนใหญ่นั้น มักอยู่ในรูปผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทั้งแบบยาเม็ดและผงละลายน้ำสำหรับดื่ม ซึ่งในความเป็นจริงมีผลทำให้ผิวขาวน้อยมาก เพราะสารชนิดนี้จะดูดซึมได้เล็กน้อยและถูกขจัดออกจากร่างกายในที่สุด ดังนั้นประโยชน์ที่จะได้รับจากการทานกลูต้าไธโอนในรูปแบบอาหารเสริมนั้นแทบไม่มีเลย

ต่อมาพบว่ามีผู้นำกลูต้าไธโอนในรูปแบบยาฉีดมาใช้แทนการเสริมอาหาร ดัดแปลงโดยการผสมกับวิตามินซีแล้วฉีดเข้าเส้นเลือดดำหรือกล้ามเนื้อครั้งละ 600 มิลลิลิตร และเนื่องจากผิวที่ขาวขึ้นด้วยกลูต้าไธโอนนั้นเป็นผลข้างเคียงของยาที่เกิดขึ้นชั่วคราว หากต้องการให้ผลคงอยู่ตลอดไป จำเป็นที่จะต้องได้รับการฉีดซ้ำเป็นระยะ ทำให้เกิดการสะสมยาในร่างกายมากขึ้น และอาจก่อให้เกิดอันตรายในระยะยาวได้เช่นกัน

นอกจากนี้การฉีดยาจำเป็นต้องกระทำโดยผู้ประกอบวิชาชีพที่เชี่ยวชาญเท่านั้น เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างการให้ยา เช่น การฉีดยาในอัตราที่เร็วเกินไป การติดเชื้อในกระแสเลือดจากเครื่องมือที่ไม่สะอาด การเกิดฟองอากาศอุดตันหลอดเลือด เนื่องจากผู้ฉีดยาไล่ฟองอากาศในเข็มไม่หมด เป็นต้น ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้สามารถส่งผลกระทบที่รุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้

ปัจจุบันสำนักงานอาหารและยา หรือ อย. ยังไม่มีการขึ้นทะเบียนรับรองการใช้กลูต้าไธโอนเพื่อผิวขาวแต่อย่างใด และได้ประกาศห้ามใช้เนื่องจากกลูต้าไธโอนทั้งแบบทานและฉีดมีปริมาณกลูต้าไธโอนสูงถึง 500 - 1,000 มิลลิกรัม ซึ่งมากกว่าปริมาณที่แพทย์อนุญาตให้ผู้ป่วยใช้คือไม่เกิน 250 มิลลิกรัมต่อวัน และอาจทำให้แพ้ยาจนช็อกถึงขั้นเสียชีวิตเฉียบพลัน หรือส่งผลในระยะยาวเช่น สะสมในร่างกายที่ตับ หรือทำให้ไตต้องทำงานหนักในการกำจัดปริมาณที่สูง ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งผิวหนังเนื่องจากผิวที่ไวต่อแสงแดดเพราะเม็ดสีผิวถูกทำลาย

ที่มา นิตยสาร LIVE




ปรับผิวขาวขึ้น สุขภาพดี
รับเม็ดสีเมลานิน ด้วยกลูต้าแท้จากประเทศญี่ปุ่น
ลดสิว และ ปัญหาผด ผื่น
ช่วยลด และ ป้องกันปัญหา ฝ้า
ต่อต้านอนุมูลอิสระ ริ้วรอยช่วยลดปัญหาผิวด่าง กระด้าง
คืนความชุ่มชื่น ให้ผิวเด้งอิ่มน้ำ ดูขาวใส มีออร่า
รอยหลุม แผลเป็น จากสิวดูตื้นขึ้น ช่วยให้ผิวลื่น นุ่ม น่าสัมผัส

รีวิวจากลูกค้าที่ทานแล้ว
"กินมาก็เยอะน่ะมาเจอตัวนี้โอเคมากเลย เปิดกระปุกมาก็หอมมากจากที่เป็นคนผิวแห้งๆไม่ชอบทาครีมกินตัวนี้ไปรู้สึกชุ่มชื่นขึ้นประทับใจมากคะฝ่าลดลงแต่งหน้าแล้วดูไม่ลอยด้วยนะ ใช้ดีเลยมาบอกต่อนะคะ"

"ผิวลื่นขึ้นแต่งหน้าติด แก้มมีเลือดฝาดด้วยชอบมากคะ"

"ขาวไวมากจุดด่างดำจางลงเร็วด้วย เป็นกลูต้าที่กินแล้วดีสุดๆ กลิ่นหอม"

"ขาวไวมากคะไม่ได้ขาวแบบโบะๆด้วยคือผิวขาวแบบสดใสดูอมชมพูด้วยแก้มออกชมพูมีเลือดฝาด แถมสิวยุบเร็วมากคะกิน2เม็ดก่อนนอนวันที่มีสิวตื่นมาสิวยุบเลย และหอมด้วยเป็นตัวที่กินแล้วดีมี่สุดที่กินมาเลยคะ" 

"ดีคะ รุ้สึกผิวนุ่มชุ่มชื่นขึ้นมากเลยคะ"

ดูรีวิวเพิ่มเติมคลิกเลย

กลูต้าไธโอนเพื่อผิวขาว ทางเลือกที่ไม่น่าเสี่ยง

กลูต้าไธโอนเพื่อผิวขาว ทางเลือกที่ไม่น่าเสี่ยง
ช่วงหน้าร้อนที่ผ่านมา หากผู้เขียนจะบอกว่าอากาศร้อนได้ใจคงไม่มีใครคัดค้าน แถมแสงแดดยังแผดเผาจนทำให้รู้สึกเหมือนปลาสลิดหรือเนื้อแดดเดียว ทุกครั้งที่ต้องเดินออกมาทำธุระหรือหาอาหารกลางวันกินจะเห็นแฟชั่นร่มบานสะพรั่ง คนไทยส่วนใหญ่ (โดยเฉพาะสาวๆ) มักจะเห็นแสงแดดเป็นคู่ปรับตลอดกาล เพราะต่างก็อยากจะมีผิวขาวใส ครีมกันแดดและไวท์เทนนิ่งล้วนแต่ขายดี ถึงขั้นมีผลิตภัณฑ์ทั้งแบบกิน (ทีีมักโฆษณาเกินจริงหรือให้ข้อมูลไม่ครบถ้วน) และแบบฉีด (ที่กฎหมายบ้านเราแน่นอน) ให้ผิวขาว สารสำคัญที่นิยมใช้และหลายคนอาจจะคุ้นหูคือ กลูต้าไธโอน ฉบับนี้เราจึงจะมาตามล่าหาความจริงเรื่องนี้กัน


สีผิวและสารเมลานิน

ก่อนที่เราจะเข้าถึงประเด็นที่ว่ากินอะไรแล้วผิวขาว เราต้องรู้ก่อนว่าสีผิวของคนนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร ทำไมชาวตะวันตกจึงผิวขาว แล้วคนเอเชียผิวออกคล้ำไปจนถึงผิวเข้มแบบชาวแอฟริกา สีผิวของมนุษย์เกิดจากสารให้สีหรือเม็ดสีที่เรียกว่า เมลานิน (Melanin) สารนี้ถูกสร้างโดยเซลล์ชื่อเมลาโนไซด์ (Melanocyte) ในหนังกำพร้าชั้นล่างสุด โดยสารเมลานินจะแบ่งเป็น 2 ชนิด ด้วยกันคือ ฟีโอเมลานิน (Pheomelanin) ซึ่งมีขนาดเล็หและสีอ่อน และยูเมลานิน (Eumelanin)ซึ่งขนาดใหญ่กว่าและสีเข้ม ในผิวหนังของกลุ่มชนผิวขาวจะมีฟีโอเมลานินมากกว่ายูเมลานิน ผิวจึงมีสีอ่อนในทางกลับกลุ่มคนเอเชียอย่างคนไทยเรา จะมียูเมลานินมากกว่าฟีโอเมลานิน ผิวจึงออกสีน้ำตาลอ่อน นอกจากนี้ คนผิวสีเข้มมากจะมีการสร้างเมลานินมากกว่า และเมื่อสร้างขึ้นมาแล้วจะถูกทำลายช้ากว่าด้วย ส่วนประกอบอื่นของผิวหนังก็มีผลต่อสีผิวด้วย ได้แก่ เส้นเลือด สารให้สีชนิดอื่น เช่น พวกแคโรทีนอยด์ทำให้ผิวออกสีเหลือง เห็นได้ชัดเวลาที่ใครกินมะละกอสุกปริมาณมากอย่างต่อเนื่อง จะเริ่มสังเกตุเห็นผิวพระสังข์ ถ้าหยุดกินหรือกินน้อยลงสีเหลืองจะจางลงเอง


คำถามต่อไปคือแล้วทำไมผิวหนังเราต้องมีเมลานินหน้าที่ของสารเมลานินนอกจากให้สีแก่ผิวยังมีหน้าที่ที่เกี่ยวเนื่อง หน้าที่หลักคือการกรองรังสียูวีจากแสงแดดไม่ให้มาทำร้ายเซลล์หรือส่วนประกอบของร่างกายที่อยู่ลึกลงไป ช่วยกระจายแสงและยังสามารถต้านอนุมูลอิสระได้อีกด้วย ดังนั้น จึงจะเห็นว่าสารเมลานินมีความจำเป็นต่อร่างกายของเรา


กลูตาไธไอนคืออะไร

คราวนี้มารู้จักกลูตาไธโอน (Glutathione) เป็นสารเปบไทด์ที่เกิดจากกรดอะมิโน 3 ชนิดมารวมกัน ได้แก่ ซิสเตอิน (Cysteine) กรดกลูตามิก (Glutamic acid) และไกลซีน (Glycine)ร่างกายสามารถได้เองจากโปรตีนที่กินเข้าไปในแต่ละวัน และยังสามารถได้รับจากอาหารที่เป็นแหล่งของสารนี้ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อสัตว์ ปลา ไข่ นม และพืชผักต่างๆ โดยมีมากในผลอโวคาโด หน่อไม้ฝรั่ง แตงโม และวอลนัท ถึงแม้ว่าจะดูดซึมได้ไม่ดีนัก กลูต้าไธโอนมีหน้าที่สำคัญเกี่ยวกับการกไจัดสารพิษออกจากร่างกาย ผ่านการสร้างเอนไซม์ที่ช่วยทำให้สารพิษละลายน้ำได้ดีขึ้นและกำจัดออกไปได้ง่ายเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ กระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย ช่วยเสริมการดูดซึมวิตามินบางชนิด เช่น วิตามินซี วิตามินอี เป็นต้น รวมทั้งช่วยปกป้องตับจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ ผู้ที่มีสุขภาพดีจะไม่ขาดกลูตาไธโอนจะพบการขาดบ้างในผู้ป่วยโรคเบาหวานโรคตับ โรคความดันโลหิตสูง โรคเอดส์ เป็นต้น รวมทั้งในคนที่สูบบุหรี่จัด


กลูต้าไธโอนกับสีผิว

รู้จักสารเมลานินและกลูตาไธโอนแล้ว จะเห็นว่าสารแต่ละตัวมีหน้าที่ที่สำคัญในร่างกายของคนเรา แต่ไม่เกี่ยวข้องกันโดยตรง คราวนี้ทำไมจึงมีความสนใจหรือมีการฉีดกลูตาไธโอนให้ผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายเพื่อสร้างภูมิต้านทาน แล้วพบว่าผู้ป่วยมีสีผิวจางลง โดยคำอธิบายคือเมื่อร่างกายได้รับกลูต้าไธโอนในปริมาณมาก จะไปยับยั้งการสร้างภูมิต้านทาน แล้วพบว่าผู้ป่วยมีสีผิวจางลง โดยคำอธิบายคือเมื่อร่างกายได้รับกลูต้าไธโอนในปริมาณมาก จะไปยับยั้งการสร้างยูเมลานิน (เมลานินดม็ดสีเข้ม) และเปลี่ยนไปสร้างฟีโอเมลานิน (เมลานินเม็ดสีอ่อน) เพิ่มขึ้น ผิวจึงดูขาวขึ้น แต่ประเด็นที่สำคัญที่สุดคือผลดังกล่าวนี้เป็นผลชั่วคราวเท่านั้น เมื่อเวลาล่วงไปการผลิตเมลานินทั้ง 2 ชนิดจะกลับมาเหมือนปกติ


ความเสี่ยงจากการได้รับในปริมาณสูง

ดังที่กล่าวแล้วว่าผลจากการได้รับกลูต้าไธโอนนั้นไม่ถาวร ปัญหาจึงเกิดขึ้น ได้จากปัจจัย 2 ประการคือ การได้รับในปริมาณมากและการที่ต้องใช้ต่อเนื่องเป็นเวลานานๆการที่ร่างกายสร้างเม็ดสีน้อยลง เท่ากับว่าเรามีเมลานินที่จะช่วยป้องกันเราจากรังสียูวีน้อยลง ทำให้เซลล์เกิดการเสื่อมเร็วขึ้นอาจมีอันตรายต่อเซลล์และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งผิวหนัง อวัยวะอีกส่วนหนึ่งที่อาจได้รับผลกระทบคือ จอ (นัยน์)ตา เมื่อจอตามีเม็ดสีน้อยลง ด้วยและเสี่ยงต่อการมองไม่เห็นในระยะต่อไป นอกจากนี้ในประเทศญี่ปุ่นยังเคยมีรายการแพ้กลูตาไธโอนจาการฉีดจนเสียชีวิต


ในประเทศไทยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)อนุญาตให้ใช้กลูตาไธโอนเฉพาะเป็นส่วนผสมของผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ส่วนมากใช้ร่วมกับวิตามิน เช่น วิตามินซี ไม่อนุญาตให้ใช้เป็นยากินหรือยาฉีดเข้าร่างกาย

การมีสีผิวแตกต่างกันของกลุ่มชนที่อาศัยอยู่ในบริเวณต่างๆ ของโลก น่าจะเป็นการจัดการของธรรมชาติให้คนเหล่านั้นมีสภาวะที่เหมาะสมกับภูมิประเทศและภูมิอากาศ การเปลี่ยนแปลงสีผิวอาจทำให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดีจึงไม่ควรจริงจังกับเรื่องของความสวยความงามจนเกินไป เพราะเราก็ทราบกันอยู่แล้วว่าเป็นสิ่งที่ไม่จีรัง ทางที่ดีควรให้ความสำคัญกับการมีสุขภาพดีและการรักษาสุขภาพอนามัยอย่างเหมาะสมจะดีกว่า

ที่มา นิตยสารแม่บ้าน

Trump: Is he unfit for office?

After a series of shocking revelations engulfed Donald
Trump’s presidency this week, said David Brooks in The
New York Times, there can no longer be any doubt: Our
nation is being “led by a child.” The common thread
linking Trump’s sharing of highly classified intelligence
with Russia and his firing of FBI Director James
Comey is the president’s impulsiveness and sheer
“immaturity.” Trump reportedly blabbed topsecret
information to the Russian officials visiting
the Oval Office not for strategic reasons, but
just to impress them, like a “7-year-old boy desperate
for the approval of those he admires.”
He fired Comey because, as he admitted in an
interview, he got tired of seeing that “showboat”
on TV, talking about the Russia investigation. “None of
these disastrous decisions was part of a deliberate plan,” said
Anne Applebaum in WashingtonPost.com. “Each one was made
because of the president’s willful ignorance, impulsiveness, and
inexperience.” But can anyone really be surprised? Last August, 50
Republican national security experts warned that the ill-informed,
thin-skinned Trump “lacks the character, values, and experience”
to lead the nation. Nearly four months into this disastrous experiment,
it’s clear they were right.
“There is clearly something wrong with Trump,” said David
Roberts in Vox.com. His chaotic, scandal-plagued few months in
office have exposed him as an “extreme narcissist” haunted by “a
gnawing sense of inadequacy” and driven by his hunger for “adulation,
admiration, and reinforcement for his hypersensitive ego.”
Denied it, he becomes “incredibly vengeful.” Trump has no real
agenda or core beliefs, except a hunger to dominate others; no one
can trust him. “He is a raging fire of need, shaped by a lifetime of
entitlement, with the emotional maturity and attention span of a
6-year-old.” To put it more simply, said Andrew Sullivan in
NYMag.com, the president is flat-out “off his rocker.”
Pay no attention to the “armchair diagnosers,” said Cullen
Herout in TheFederalist.com. It’s no coincidence that those
now speculating aloud about various psychiatric
conditions afflicting President Trump—from
“malignant narcissism” to Alzheimer’s disease—
also loathe him on ideological grounds. Their
concern about his mental health “rings hollow.”
As for the speculation that Trump is showing
signs of age-related decline, said Tony Schwartz
in The Washington Post, I see no difference
between the Trump of today and of 30 years
ago, when I wrote The Art of the Deal for him. Then as now, he
was a desperately needy guy who saw every human encounter “as
a contest he had to win” by any means necessary, and “damn the
consequences.”
Whatever the state of Trump’s mental health, said Ross Douthat
in NYTimes.com, he just isn’t up to the job. Even his inner circle
now report a constant struggle to keep him focused on the task
at hand, and to curb his self-destructive impulses, as if they were
“stewards for a syphilitic emperor.” The 25th Amendment to the
Constitution provides a mechanism for removing a president who
is “unable to discharge the powers and duties of his office,” and
it’s time for Congress to apply that remedy. I agree that Trump isunfit for the presidency, said Charles Cooke in NationalReview
.com, but for Washington elites to depose him on such “nebulous
grounds” would enrage the tens of millions of Americans who
voted Trump into office. They’d see it, not without justification,
as a coup, and the result would be rage and turmoil “the likes of
which we have not seen in a while.”


Trump’s intelligence sharing with Russia

President Trump’s already strained relationship
with the U.S. intelligence services took
another blow this week after it was reported
that he had disclosed highly classified information
about an ISIS plot to Russian diplomats
visiting the White House. During the
Oval Office meeting with Russian Foreign
Minister Sergey Lavrov and the Kremlin’s
ambassador to the U.S., Sergey Kislyak,
Trump revealed that ISIS had used stolen airport
security equipment to test a bomb that
could be hidden in a laptop and sneaked into
an airplane cabin, U.S. intelligence officials
told NBC News. The president also disclosed
the name of the city where the intelligence
was gathered. “I get great intel,” Trump told the Russians, according
to The Washington Post. The intelligence, reportedly gathered
by Israel, was meant for U.S. eyes only. Given the clues Trump provided,
Russia could easily identify the source of the information, a
former U.S. intelligence official told the Post. Countries will “think
twice before sharing sensitive information after an event like this,”
said Michael Herzog, a former Israeli intelligence officer. Trumpdefended his revelation of the plot, saying on Twitter that he had
“the absolute right” to do so and that he’d wanted to persuade the
Russians “to greatly step up their fight against ISIS.”
Senate Minority Leader Chuck Schumer said it was no longer clear
whether Trump could be trusted with the nation’s “most closely
kept secrets,” and called on the White House to release a transcript
of the meeting. Russian President Vladimir Putin said that if Trumpconsented, he would hand over Lavrov’s transcript. Republican
members of Congress expressed dismay over the incident. The White
House, said Sen. Bob Corker, is “in a downward spiral right now.”

As president, “Trump has the legal authority to share intelligence
with pretty much whomever he wants,” said the Los Angeles Times.
But that doesn’t make his blabbing “right or smart.” If Israel and
other allies stop sharing sensitive information about terrorist plots
with the U.S., American lives will be put in danger. It’s ironic that
Trump came to power partly by claiming that his opponent “had so
badly mishandled classified information that she deserved to go to
jail.” What should we think now that the
president has been accused of releasing critical
state secrets?
Evidently the president “said too much
out of carelessness or bravado,” said the
Washington Examiner. Trump simply can’t
grasp the gravity of the situation. “When
he was merely a billionaire celebrity real
estate developer he could afford to throw
his weight around or be indiscreet.” But
now Trump’s “every word carries immense
clout,” something “Republicans, conservatives,
and patriots of all stripes” need to
make sure he understands.

Trump has done nothing wrong, said Ted Galen Carpenter in
TheAmericanConservative.com. His critics are so consumed by
“anti-Russia hysteria” that they can’t understand why the president
might have thought it important to discuss the plot with Lavrov and
Kislyak. “Russia has been the victim of Islamic terrorist attacks on
several occasions and is a de facto ally in the war against ISIS.” By
informing Moscow about this new jihadist threat, the U.S. is more
likely to secure the Kremlin’s cooperation in tackling other international
challenges like North Korea.
But “Russia is an enemy” of the U.S. and Israel, said Alan Dershowitz
in TheHill.com. Putin backs Syria’s genocidal leader, Bashar al-
Assad, and is good friends with the mullahs who rule Iran and their
Lebanese terrorist puppet, Hezbollah. Assad, Iran, and Hezbollah
are all violently anti-American and committed to the destruction of
the Jewish state. Whatever intelligence Trump provided Russia might
“end up in the hands of these enemies of peace and stability.”
Still, “this doesn’t look like collusion with the Russians,” said Eli
Lake in Bloomberg.com. “Collusion” suggests that the information
shouldn’t be shared, but we do want the Russians to know about
terrorist threats against airlines—just as long as intelligence is passed
along carefully. Indeed, “both of Trump’s predecessors pursued
sensitive counterterrorism partnerships with Putin.” Yet there’s little
comfort to be found in the most likely explanation for this momentous
gaffe: “The president is bad at his job. Stupid trumps sinister.”



Comey memo triggers new Trump crisis

Donald Trump’s presidency faced its
gravest crisis yet with the allegation this
week that he asked then–FBI Director
James Comey to shut down the federal
investigation into Michael Flynn, his
former national security adviser. “He is
a good guy,” the president told Comey,
according to a leaked memo written by
the FBI director immediately after the
encounter. “I hope you can let this go.”
That request—which some legal experts
say could lead to obstruction of justice
charges and possible impeachment—
took place in the Oval Office on the day
after Flynn resigned for misleading the
administration about his contact with
Russia’s ambassador to the U.S. In his
memo, Comey wrote that Trump sent
Vice President Mike Pence and Attorney General Jeff Sessions out
of the room before urging the FBI director to drop the investigation.
White House officials said Comey’s memo was “not a truthful
or accurate portrayal of the conversation.”
But in response to growing political pressure, Deputy Attorney
General Rod Rosenstein named former FBI Director Robert
Mueller as a special prosecutor to take over the investigation into
whether the Trump campaign colluded with Russia’s hacking of
the Clinton campaign. Rosenstein said “unique circumstances’’
required him to hand off the investigation to “a person who
exercises a degree of independence from the normal chain of command.’’
Sen. John McCain (R-Ariz.) said the scandal was now of
a “Watergate size and scale,” while Rep. Justin Amash (R-Mich.)
said the allegations, if true, were grounds for impeachment. Senate
Minority Leader Chuck Schumer (D-N.Y.) said the country was
“being tested in unprecedented ways,” and warned his fellow senators
that “history is watching.”
Last week, Trump flatly contradicted his aides’ earlier claims that
he had fired Comey as the result of a recommendation the Justice
Department. The president told NBC News he was going to fire
Comey—whom he described as a “showboater”—regardless of the
recommendation, in part because he believed “this Russia thing”
was a “made-up story.” When sources close to Comey revealed that
Trump had asked for the FBI director’s
“loyalty” during a meeting in January,
the president tweeted that Comey “better
hope that there are no ‘tapes’ of our
conversations.”

“When will Republicans in Congress
decide that enough is enough?” asked
The New York Times. Trump’s attempt
to quash a federal investigation into
Flynn—one that could still “reach into
the highest levels of his campaign and
administration”—constitutes a gross
abuse of executive power. It’s time for
congressional Republicans to finally
put country above party and stop
defending Trump.

Trump “needs to realize how close he
is” to losing congressional Republicans’
support, said The Wall Street Journal.
“Weeks of pointless melodrama” have
halted all the momentum on health-care
and tax-reform legislation, leaving lawmakers
exhausted and deeply frustrated.
If they decide that Trump “looks like a
liability” to their re-election chances in
2018, they’ll “drift away,” and his presidency
will “sink before his eyes.”

Comey’s memo isn’t a smoking gun—it’s
“a gun without powder,” said Gregg
Jarrett in FoxNews.com. If the attentionseeking
G-man really thought Trump
was trying to “obstruct justice,” he was
legally required to report it immediately.
He didn’t, because he knew Trump’s “vague” and “ambiguous”
language wasn’t specific enough to constitute obstruction of justice.
If the conversation was so innocent, said Ruth Marcus in The
Washington Post, why did Trump order everyone else out of the
Oval Office? His attempt to pressure the FBI director to drop an
investigation into a top aide became even more “sinister” when he
fired Comey himself over the broader investigation into his campaign.
“The lawyers can debate whether this satisfies the technical
elements of obstruction”—but it’s pretty clear to the rest of us.
Trump’s presidency is “on the verge of collapse,” said David Graham
in TheAtlantic.com. Legal scholars say that if Comey’s memo
is accurate, Trump committed obstruction of justice—one of the
charges in Bill Clinton’s 1998 impeachment, and the central charge
that forced Richard Nixon to resign in 1974. The threat to Trump’spresidency is grave: “Investigations, once begun, tend to snowball.”
The special prosecutor was a necessity, said Page Pate in CNN.com.
Now that Trump has evidently tampered with an investigation, fired
the FBI director, and pressured Justice Department officials to cover
for him, only a totally independent special prosecutor can provide
Americans with assurance the full truth will be revealed. “Careful
what you wish for,” said David Frum in TheAtlantic.com. Special
prosecutors set out to find evidence of crimes and often take years
to complete their secretive work. The most pressing question about
Russia’s meddling in our election—and
whether the Trump campaign colluded in
it—is: “What happened?” An independent
commission like the one that
investigated 9/11 would be better suited
to answer that question.
Trump’s loyal base won’t give up on
him because of the Comey memo, said
Jonathan Tobin in NationalReview.com.
As a result, congressional Republicans
will keep looking for excuses to defendTrump—but they cannot “go on like
this indefinitely.” If Republicans give up
any hope that “Trump can successfullygovern” and decide he’s an impediment
to their agenda—that’ll be the real “tipping
point.”

Congressional Republicans are now “digging in
for a long investigation of President Trump,” said
Erin Kelly and Eliza Collins in USA Today. The
leaders of intelligence, judiciary, and oversight
committees in both the House and the Senate
have demanded from the FBI and the White
House any records of conversations between
Trump and Comey; a meticulous record keeper,
Comey is believe to have written memos of
several “uncomfortable” conversations he had
with Trump. The Senate Intelligence Committee
asked for Comey’s cooperation and invited him
to testify “in both open and closed sessions.” A
Comey associate said he’s willing to testify, “but
wants it to be in public.”


ประวัติและชีวิตส่วนตัวของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein)

ประวัติและชีวิตส่วนตัวของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein)

อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ นักคิดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในศตวรรษที่ 20 และนักวิทยาศาสตร์ชื่อดังคนแรก ชื่อไอน์สไตน์กลายเป็นคำเดียวกับอัจฉริยะ การคิดค้นของเขานำไปสู่ระเบิดปรมาณู ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในสมการ E=mc2 กลายเป็นสิ่งที่ทำลายโลกได้ ไอน์สไตน์นั้นปวดร้าวเสมอที่ต้องเลือกระหว่างงานและผู้หญิงในชีวิต มีความขี้เล่นอยู่มากที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ไอน์สไตน์เปลี่ยนจากคำวิจารณ์ว่า เธอสวยแค่ไหน เธออวบอัดแค่ไหน ว่าเขาจำร่างอันอบอุ่นของเธอได้ แล้วเขาก็เปลี่ยนไปพูดว่า ฉันเพิ่งอ่านหนังสือเรื่องคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ามา ไอน์สไตน์เห็นว่าการแต่งงานนั้นอันตราย และงานของเขานั่นเองที่ชนะเสมอ

ภาพลักษณ์นักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องในหนังมาจากผู้ชายคนเดียว อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ 50 ปีหลังเขาเสียชีวิต ใบหน้าของเขาอยู่ตามถ้วยกาแฟ ปฏิฑิน และเสื้อยืด เขาเป็นดาราผู้โด่งดังคนแรกของวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ แต่เบื้องหลังภาพความสำเร็จที่น่าชื่นชมนี้ ไอน์สไตน์ยากที่จะเข้าใจพอๆกับสมการของเขา E=mc2  ความเป็นอัจฉริยะที่ไร้คู่แข่งเป็นเพียงเบื้องหน้าของเขาที่ทรยศแม้คนใกล้ชิด เขาชอบผู้หญิงและเขาเกลียดความชอบนี้มาก เขาพยายามต่อสู้กับมัน เพราะมันดึงเขาออกจากสิ่งที่เขาคิดว่ามันเป็นภารกิจนั่นคือการดึงความลับของจักรวาล  อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ นั้นมีใจมุ่งกับความรู้ทางวิทยาศาสตร์ตั้งแต่ช่วงแรกๆของชีวิต ความหลงใหล ความกระตือรือร้น เขามุ่งหมายและให้ความสำคัญกับงานของเขาอย่างมาก การอุทิศตัวของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ทำให้ได้รางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ แต่เขาต้องเสียบางอย่างเพื่อแลกกับความสำเร็จ โดยเฉพาะความสัมพันธ์ส่วนตัว

อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ นั้นมองว่าผู้หญิงคือพวกที่ต้องนำมาใช้ในแง่ที่ว่าผู้หญิงนั้นอาจจะเป็นแรงบันดาลใจได้ แต่เขาก็ต้องทำร้ายพวกเธอด้วย รักแรกของไอน์สไตน์คือเพื่อนนักศึกษาวิชาฟิสิกส์  มิเลว่า มาริช ซึ่งแก่กว่า 4 ปี ไอน์สไตน์ชอบความใฝ่ฝันและความเป็นตัวเองของเธอ ตอนเขาพบมิเลว่า มีความหลงใหลที่ทำให้ตัวเขาเองก็กลัวในสิ่งที่เขาคุมไม่ได้ เมื่อมิเลว่าที่ยังไม่ได้แต่งงานตั้งครรภ์ ทำให้งานวิทยาศาสตร์ของไอน์สไตน์อยู่ในอันตราย ไอน์สไตน์พยายามที่จะหางานทางภาคเหนือของสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเป็นที่ๆคนหัวโบราณมากๆ และถ้าเขาไปที่นั่นพร้อมกับลูกนอกสมรส เขาต้องลำบากอย่างแน่นอน ไอน์สไตน์ไม่ยอมทำลายการงานของเขาเพื่อเด็กคนหนึ่ง ทั้งคู่ยกลูกคนแรกที่เป็นผู้หญิงให้คนอื่น ไอน์สไตน์ไม่เคยเห็นลูกสาวอีกเลย ต่อมาเมื่อเขาแต่งงานกับมิเลว่า เขามีลูกอีกสองคน ฮานส์อัลเบิร์ตและเอ็ดเวิร์ด การหมกมุ่นในงานของไอน์สไตน์ทำให้ครอบครัวต้องเป็นที่สอง เขาเดินทางบ่อยและทำงานดึก แทบไม่อยู่บ้านเห็นหน้าลูกหรือภรรยา ด้วยความเป็นทุกข์ มิเลว่าเขียนถึงเพื่อนว่า ฉันโหยหาความรัก ฉันเชื่อว่าต้องโทษวิทยาศาสตร์ตัวร้ายเท่านั้น ขณะที่มิเลว่าเชื่อใจเขาน้อยลงและหึงมากขึ้น เขาเริ่มผละตัวไปจากเธอและเริ่มโกรธมากขึ้น แล้วก็หันไปหาหญิงอื่นเพื่อที่จะปลอบใจ

เอลซ่า ลูกพี่ลูกน้องของไอน์สไตน์เป็นหนึ่งในนั้น พวกเขาเป็นชู้รักกัน ไอน์สไตน์เขียนถึงเอลซ่าว่า ผมคงดีใจมาก หากได้เดินไม่กี่ก้าวข้างๆคุณ โดยไม่มีเมียขี้หึง ผมถือว่าเธอคือลูกจ้างที่ไล่ออกไม่ได้ ปี 1919 4 เดือนหลังหย่าขาดจากมิเลว่า ไอน์สไตน์แต่งกับลูกพี่ลูกน้องของเขา ในตัวเอลซ่า เขาพบคู่ชีวิตที่สมบูรณ์แบบ ผู้หญิงที่พร้อมจะดูแลเขาและให้ตัวเองเป็นที่สองรองจากการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ เธอเป็นภรรยาแบบในยุคเก่าแบบที่มิเลว่าไม่สามารถจะเป็นได้ดังที่ไอน์สไตน์ได้เคยกล่าวไว้ว่า เขาต้องการคนรีดเสื้อให้กับเขา ตั้งแต่หย่าไอน์สไตน์ก็ไม่ได้พบลูกชายทั้งสองคน ต่อมาลูกชายคนโตเขียนหนังสือเรื่องโครงการเดียวที่เขาเลิกทำคือผมเอง ลูกคนที่สองเป็นโรคจิตเสื่อม เขาอยู่ในโรงพยาบาลประสาทหลายปี เขาไม่ใช่พ่อที่ประสบความสำเร็จ เขาไม่มีความเกี่ยวข้องกับลูกๆ มากนัก เขาพบกับเด็กทั้งสองเป็นครั้งคราวหลังจากที่หย่า อาจจะพูดได้ว่าเขาได้เกรด A+++ ในวิชาฟิสิกส์ แต่ว่าในเรื่องของการเป็นพ่อนั้น เขาได้เกรดประมาณ C- ถึง D เท่านั้น

ปี 1919 ปีที่เขาแต่งงานกับเอลซ่า ทฤษฎีสัมพันธภาพได้รับการพิสูจน์ว่าถูกต้อง ด้วยวัย 40 ปี ไอน์สไตน์กลายเป็นคนดังทันที ซุปเปอร์สตาร์คนแรกที่เป็นนักวิทยาศาสตร์ ในหลายแง่มุมแล้วเขากลายเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงที่สุด เป็นหนึ่งใน 12 คนที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกในชั่วข้ามคืนเท่านั้น สามปีต่อมาไอน์สไตน์ได้รับเกียรติยศสูงสุดของนักวิทยาศาสตร์ นั่นคือรางวัลโนเบล แต่ขณะที่ทั่วโลกเชื่อว่าไอน์สไตน์เป็นอัจฉริยะ เขากลับคิดว่าตัวเองล้มเหลวในทางอารมณ์ แรงขีบเพื่อความสำเร็จทางการงานจะนำความเศร้ามาให้ในอีกหลายปีข้างหน้า อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์เกิดในยุคที่มีการคิดค้นวิทยาศาสตร์ขึ้นเป็นจำนวนมาก ตั้งแต่ช่วงแรกของชีวิต เขาถูกกระตุ้นด้วยความหลงใหลสิ่งที่เป็นไปรอบตัว ตอนยังเด็กสิ่งแรกที่พ่อให้กับเขาไว้ก็คือเข็มทิศแม่เหล็ก เขาประทับใจกับการเคลื่อนไหวของโลหะชิ้นน้อยที่แกว่งไปมา แล้วก็หาทางไปทางทิศเหนือ ว่าทำไมมันถึงเป็นแบบนั้น มีบางอย่างฝังลึกที่นั่น มีบางอย่างในตัวเขาที่ต้องค้นหาความจริงของสิ่งต่างๆให้ได้

เข็มทิศเป็นจุดเริ่มต้นการแสวงหาความรู้ของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ การแสวงหาที่จะครอบงำส่วนที่เหลือของชีวิต อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์เกิดในปี 1879 ทางตอนเหนือของเยอรมันนี ลูกคนโตของพ่อแม่ชนชั้นกลาง ชาวยิวเคร่งศาสนา เฮอร์แมนและพอลลีน เฮอร์แมนเป็นวิศวกรและยังเป็นเจ้าของโรงงานผลิตไดนาโม การผลิตไฟฟ้าในเยอรมันนีเกิดขึ้นในอัตราที่เร็วมาก ครอบครัวของเขาเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับธุรกิจที่เปรียบเหมือนกับการปฏิวัติเทคโนโลยีในยุคนั้น และเป็นยุคที่มีการปฏิวัติที่ยิ่งใหญ่ มีกระบวนการขนาดใหญ่ที่ทำให้อุตสาหกรรมใหม่ๆนั้นเป็นไปได้ ความมั่งคั่งก็มีมากขึ้น เข้าสูศตวรรษใหม่ที่อะไรก็ดูจะเป็นไปได้ทั้งนั้น แม่ของเขาพอลลีนเป็นหญิงที่ชอบข่มผู้อื่น เธอสนับสนุนให้ลูกชายเล่นไวโอลินและปลูกฝังให้เขาตั้งใจที่จะประสบความสำเร็จ แม่ของไอน์สไตน์นั้นเป็นคนที่ครอบงำครอบครัวเขา เธอครอบครองอำนาจและพ่อของเขาด้วย และนี่คือสิ่งที่พบเห็นในนักวิทยาศาสตร์หลายคน ส่วนใหญ่จะมีปูมหลังที่พ่อช่างฝันเล็กน้อย และแม่จะเป็นผู้นำในการดูแลครอบครัว แม่ของไอน์สไตน์ปลูกฝังในตัวเขา ไม่ว่าจะทำงานอะไรก็ตาม อย่าคิดวางมือเด็ดขาดจนกว่ามันจะเสร็จ

ไอน์สไตน์ในวัยหนุ่มเป็นคนที่พึ่งตัวเองได้และช่างคิด ชอบเเรียนรู้ด้วยความสมัครใจ เขาใช้เวลาหลายชั่วโมงสร้างบ้านจากไพ่และแก้โจทย์คณิตศาสตร์ที่ซับซ้อน เขาไม่ชอบโรงเรียน ตอนแรกครูคิดว่าเขานั้นโง่ เขาใช้เวลานานในการแก้โจทย์เลขจนครูคิดว่าเขาหัวช้า แต่จริงๆแล้วเขาคิดว่าจะทำยังไงเพื่อหาวิธีที่ดีกว่าในการแก้โจทย์ เรื่องหนึ่งที่ลือกันก็คือไอน์สไตน์นั้นเรียนไม่เก่ง ที่จริงเขาเป็นนักเรียนที่เก่งมาก เขากับวิชาพีชคณิต เรขาคณิต ฟิสิกส์ คณิตศาสตร์ ตรีโกณมิติ เรขาคณิตขั้นสูง ทุกวิชาที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ เขาเป็นนักเรียนเกรดเอ และเมื่อไอสไตน์ได้จังหวะเล่นงานครู พวกเขาก็ไม่มีทางสู้เลย เขาจะถามคำถามครูแล้วครูก็จะหาทางคิดให้ออกแต่ก็คิดไม่ออก  ปี1896 ไอน์สไตน์ออกจากบ้านและเข้าเรียนที่โปลีเทคนิคแห่งสหพันธรัฐสวิสที่ซูริค ที่เขาฝึกหัดเป็นครูฟิสิกส์และคณิตศาสตร์ ที่นี่เองที่เขาได้พบโลกเสรีทางปัญญาและยังได้พบผู้หญิงอีกด้วย

ผู้หญิงต่างรุมล้อมเขาเพราะว่าเขาหน้าตาดีมาก เขามีลักษณะของนักกวี นักดนตรี หรือนักเขียน มากกว่าจะเป็นนักวิทยาศาสตร์  ที่โปลีเทคนิคนี่เอง ไอน์สไตน์วัย 17 ปีตกหลุมรักนักศึกษามิเลว่า มาริช ซึ่งเป็นนักศึกษาฟิสิกส์จากเซอร์เบียและแก่กว่าเขา 4 ปี เธอสวยมาก ไอน์สไตน์เล่าต่อมาว่าตาของเธอดึงดูดเขา และพวกเขาก็สร้างความสัมพันธ์ที่ร้อนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้ว่าไอน์สไตน์จะมีแฟลตของตัวเองไว้บังหน้า แต่ว่าจริงๆแล้วพวกเขานั้นอยู่ด้วยกัน พวกเขานั้นเป็นคู่กัน มิเลว่าเป็นผู้หญิงที่ไม่ธรรมดา เธอฉลาดมากและชัดเจน เป็นผู้หญิงที่กำลังศึกษาปริญญาเอกอยู่ เมื่อสมัย 100 กว่าปีก่อนถือว่าไม่ธรรมดามากๆ และมิเลว่าก็เป็นนักฟิสิกส์ที่เก่งมากๆอีกด้วย คู่รักทั้งสองเขียนจดหมายรักถึงกันและไอน์สไตน์ถึงกับแต่งกลอนให้ด้วย  เขาไม่ใช่คนรักแบบทั่วไปที่เป็นแบบหวานแหวว นี่คือคนสองคนที่หลงใหลซึ่งกันและกัน แต่ก็หลงใหลในฟิสิกส์มากๆด้วย ไอน์สไตน์มีความขี้เล่นอยู่มาก เขาบอกว่าเธอสวยแค่ไหน เธออวบอัดแค่ไหน ว่าเขาจำร่างอันอบอุ่นของเธอได้ แล้วเขาก็จะเปลี่ยนไปพูดว่า ฉันเพิ่งอ่านหนังสือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ามา

แต่ความสัมพันธ์เริ่มมีปัญหา ทั้งสองครอบครัวต่างก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะดีพอสำหรับลูกของตัวเอง  แม่ชาวยิวจากชนชั้นกลางของไอน์สไตน์ตกใจกับคู่ที่ลูกชายเลือก เธอเห็นว่ามิเลว่ามาจากเซอร์เบีย เป็นคนต่างชาติที่สถานะทางสังคมต่ำกว่าลูกชายเธอ  ครอบครัวไอน์สไตน์โดยเฉพาะแม่ของเขาเกลียดมิเลว่า แล้วเมื่อไอน์สไตน์พูดตอนเรียนจบว่า เขาต้องการแต่งงานกับเธอ แม่ของเขาถึงกับปล่อยโฮและสะอื้นอยู่บนเตียงของเธอ แม่ของไอน์สไตน์บอกเขาว่าลูกกำลังทำลายอนาคตและทำลายโอกาสตนเอง ถ้าเธอท้องชีวิตลูกต้องยุ่งเหยิงแน่นอน  ภายในไม่กี่เดือน มิเลว่าตั้งครรภ์ ในยุคนั้นการมีลูกโดยไม่ได้แต่งงาน ไม่เพียงทำลายสถานะทางสังคมของไอน์สไตน์ แต่ยังเป็นเรื่องการงานอีกด้วย ไอน์สไตน์มีทางเลือกเดียว อะไรจะมาก่อน ลูกของเขาหรือว่าการงาน?

ปี 1901 ชีวิตของไอน์สไตน์ นักฟิสิกส์วัย 22 กำลังล่มสลาย เขามีปริญญาแต่ตกงาน และแฟนของเขามิเลว่า มาริชตั้งครรภ์ การมีลูกนอกสมรสถืเป็นความอัปยศทางสังคม  ไอน์สไตน์ยืนยันให้มิเลว่าไปคลอดที่บ้านพ่อกม่เธอในเซอร์เบีย ห่างไปหลายร้อยไมล์ ทารกเพศหญิงชื่อว่าลีเซล ไอน์สไตน์ไม่เคยเห็นหน้าลูกคนแรก  เธออาจถูกรับไปเลี้ยงโดยใครสักคน จนถึงทุกวันนี้ชะตาของลีเซลยังคงเป็นปริศนาอยู่ ลีเซลหายไปจากบันทึกของราชการและหายไปจากชีวิตของไอน์สไตน์ เมื่อตอนอายุสองขวบเธออาจเสียชีวิตไปด้วยโรคหรือถูกส่งให้คนอื่นไปรับเลี้ยง เราไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่ คงเป็นเรื่องน่าเจ็บปวดของทั้งสองฝ่ายที่ต้องเสียลูกไป แต่พวกเขาก็ยังคงต้องดำเนินชีวิตต่อไป

มิถนายน ปี1902 ไอน์สไตน์ได้งานที่เขาชอบ เขาได้งานเป็นผู้เชี่ยวชาญด่านเทคนิคชั้นสาม ในสำนักงานสิทธิบัตรสวิสในกรุงเบิร์น งานราชการที่มั่นคง เวลาทำงานที่มีชั่วโมงแน่นอน ทำให้มีเวลาคิดทฤษฎีของเขาในตอนค่ำและสุดสัปดาห์ และยังให้ความมั่นคงทางการเงินจนแต่งงานกับมิเลว่าได้ แต่ขั้นแรกเขาต้องเอาชนะใจพ่อแม่ของเขาก่อน ในที่สุดเขาได้รับอนุญาตจากพ่อ ตอนที่พ่อของเขานอนบนเตียงใกล้ตาย ไม่นานหลังพ่อของเขาเสียชีวิต ไอน์สไตน์แต่งงานกับมิเลว่า เธออายุ 28 ปี เขาอายุ 24 ปี ไอน์สไตน์ทำงานวันละ 8 ชั่วโมง 6 วันต่อสัปดาห์ ที่สำนักงานสิทธิบัตร พอกลับมาบ้านและทุกนาทีที่ว่างก็ทำงานทางด้านทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ ไอน์สไตน์เป็นชายหนุ่มที่ไม่อยู่เฉยๆ  ไม่มีอะไรแม้แต่ครอบครัวที่จะขวางความคิด ความใฝ่ฝันของเขาได้ ไอน์สไตน์ทำงาน งานด้านฟิสิกส์บนโต๊ะในครัว ซึ่งเงินไม่เคยพอเลย มิเลว่าก็บ่นอยู่เรื่อย

พฤษภาคม ปี1904 มิเลว่ากำเนิดลูกชายคนแรก ฮานส์อัลเบิร์ต แต่แม้มีเด็กเกิดใหม่ในบ้าน ไอน์สไตน์ก็ยังหมกมุ่นแต่งาน เขาละเลยความต้องการของภรรยายิ่งขึ้น ความฝันด้านวิชาการของเธอแตกสลายไป เธอกลายเป็นแม่เต็มเวลาที่ต้องดูแลลูกๆของเธอ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเธออยู่แต่ในเงาของสามีเธอ มีความตึงเครียดในชีวิตสรส เขาและมิเลว่าแทบไม่ได้คุยเรื่องฟิสิกส์กันเหมือนแต่ก่อน เขากลับเลือกทำงานดึกที่สำนักงานแทน เขาเรียกมันว่า กุฎิฆราวาสที่เขาคิดค้นพัฒนาทฤษฎีวิทยาศาสตร์ได้อย่างสงบ ไอน์สไตน์เชื่อว่าความคิดเขาเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง เขาเขียนรายงานฉบับแล้วฉบับเล่า มั่นใจว่าการอุทิศตนอย่างแน่วแน่ของเขาจะส่งผลในไม่ช้า ในปี 1905 เป็นปีที่สุดมหัศจรรย์ของไอน์สไตน์ จู่ๆเขาก็เขียนรายงานได้สี่ฉบับที่เปลี่ยนโฉมหน้าของวิทยาศาสตร์และความก้าวหน้าของมนุษย์ ทั้งสี่ฉบับนั้นถูกเขียนขึ้นห่างกันแปดสัปดาห์และมันก็ร้อนแรงมากๆ

ฉบับที่โด่งดังที่สุดคือเรื่องทฤษฎีสัมพันธภาพ และสมการที่อธิบายทฤษฎีคือ E=mc2 ไอน์สไตน์เป็นอัจฉริยะที่พอได้ความคิดที่ยอดเยี่ยมก็จะปิดตัวเองด้านอารมณ์ ย้ายอารมณ์ทั้งหมดไปที่อื่นซะ แล้วมิเลว่าก็ถูกผลักให้ห่างออกไปอีกและหายเข้าไปในเงามืด การที่เอ็ดเวิร์ดลูกคนที่สองเกิดมา ไม่ได้ช่วยชีวิตสมรสไอน์สไตน์และมิเลว่าเลย มิเลว่าไม่พอใจในความหมกมุ่นในงานของสามี ขณะที่เธอต้องอยู่บ้านกับลูกๆ เธอไม่พอใจที่เขากำลังโด่งดังกับชื่อเสียงทางวิทยาศาสตร์ แต่อาชีพของเธอกลับจบสิ้นลง เธอได้เห็นด้วยว่าความหลงใหลในตัวเธอก็จางลง เขาแยกห้องนอนและไอน์สไตน์ก็หลีกเลี่ยงที่จะแตะต้องเธอ และมิเลว่าก็พบว่าไอน์สไตน์มีมิตรภาพให้หญิงอื่น เพื่อนหญิงคนหนึ่งเขียนจดหมายถึงเขา ฟังดูเหมือนกับว่าจะนัดพบกัน แต่ว่ามิเลว่าพบจดหมายนั้นก่อน เธอออกอาการหึงหวงและเขียนจดหมายถึงสามีผู้หญิงคนนั้น และไอสไตน์ไม่พอใจมากเขาบอกว่ามิเลว่านั้นอัปลักษณ์และก็ขี้หึง

ในการเดินทางธุรกิจไปเบอร์ลินในปี 1912 ไอน์สไตน์พบกับลูกพี่ลูกน้องและเพื่อนวัยเด็ก เอลซ่า ซึ่งแก่กว่าไอน์สไตน์สามปี เธอเป็นแม่ม่ายหย่าสามีที่มีฐานะและมีลูกสาวสองคน เพราะความวุ่นวายและหึงหวงของมิเลว่า ไอน์สไตน์รู้สึกว่าเอลซ่าเหมือนอากาศบริสุทธิ์ พวกเขาเริ่มลักลอบเป็นชู้กัน ความสัมพันธ์ของไอน์สไตน์และมิเลว่าเลวร้ายจนเขาหลีกเลี่ยงการอยู่ลำพังกับเธอ ในที่สุดก็ยื่นเงื่อนไขต่างๆที่ต้องทำหากต้องการอยู่กับเขา เงื่อนไขในการอยู่ด้วยกันนั้นรุนแรงมาก ไอน์สไตน์เรียกร้องว่าเมื่อฉันพูดกับเธอ เธอต้องตอบฉันทันที แล้วถ้าฉันให้เธอออกจากห้องของฉัน เธอต้องออกไปทันที ในที่สุดสิ่งที่แน่นอนก็คือเขาจะไม่ยอมเสียสละ ถ้าเขาใช้เวลากับครอบครัวมากขึ้น มองผู้หญิงอื่นให้น้อยลง บางทีอาจจะรักษาชีวิตสมรสไว้ได้

ปี 1914 เมื่อไอน์สไตน์รับตำแหน่งอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยเบอร์ลิน มิเลว่าและลูกๆต่างก็ไปเมืองหลวงของเยอรมันนี 3 เดือนต่อมามิเลว่ากลับสวิตเซอร์แลนด์พร้อมลูกๆ แต่เธอไม่กลับไปอีก 1 เดือนต่อมาเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ไอน์สไตน์ผู้รักสันติภาพอย่างจริงจังและเปิดเผย ถอยกลับเข้าห้องทดลองและทำงานวิทยาศาสตร์ต่อไป ชีวิตส่วนตัวเขาพังทลาย และที่ผ่านมาทฤษฎีที่คิดขึ้นใหม่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ จนเกือบสิบปีหลังจากที่เขาตีพิมพ์มันขึ้นมา ตอนต้นสงครามโลกครั้งที่หนึ่งในปี1914 ชีวิตส่วนตัวของไอน์สไตน์กำลังพังทลาย เขาแยกกันอยู่กับภรรยามิเลว่าที่อยู่กับลูกชายสองคนในสวิตเซอร์แลนด์ซึ่งเขาไม่ค่อยได้เห็นหน้า ขณะยุโรปเริ่มเข้าร่วมสงคราม ไอน์สไตน์ผู้รักสันติอย่างจริงจังขังตัวเองในห้องทำงานในกรุงเบอร์ลิน เขาบอกว่ามันบ้ามากๆ ไม่มีเหตุผลเลย คนหลายล้านจะตายโดยไร้เหตุผล มาหยุดมันให้สงครามยุติเถอะ นี่เป็นจุยืนที่ไม่เป็นที่นิยมอย่างมากในเยอรมันนีตอนนั้น แต่ว่าไอน์สไตน์ไม่สนใจ

ในปีนั้นสถาบันชั้นนำของเยอรมันนีตีพิมพ์คำประกาศเพื่อปกป้องที่เยอรมันนีรุกรานชาติอื่น ไอน์สไตน์จัดรวบรวมชื่อเพื่อสันติภาพบ้าง แต่ได้เพียงสามลายเซ็นต์เท่านั้น อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์เป็นคนรักสันติเสมอมา เขาเคยเจอทหารแล้วก็กลัวมากเลยทีเดียว ตอนเป็นเด็กพอเห็นทหารเดินแถวอย่างเข้มแข็งตามถนนในเยอรมันนี เขาขอพ่อแม่ว่าอย่าให้เขาต้องโดนเกณฑ์ไปเป็นทหารเลย ไม่ว่าจะในรูปแบบใด เป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับเขาโดยสิ้นเชิง รวมทั้งจิตวิญญาณในตัวของเขาด้วย ไอน์สไตน์ดึงตัวไปสู่โลกแห่งทฤษฎีทางฟิสิกส์ ไอน์สไตน์เก็บตัวเองอยู่กับงานที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งตอนนั้นยังเป็นทฤษฎีสัมพันธภาพทั่วไป ทฤษฎีแรงโน้มถ่วงที่แสดงเวลาในอวกาศซึ่งยืดหยุ่นและโน้มเอียงและทำนายว่าจะมีการขยายตัวของจักรวาล หลังทำงานหนักอยู่หลายปีเพื่อพัฒนาทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ ไอน์สไตน์ก็เหนื่อยอ่อนทั้งร่างกายและจิตใจ

ในปี1916 เขาล้มป่วย เอลซ่าลูกพี่ลูกน้องของเขาที่เริ่มเป็นชู้กันเมื่อ 4 ปีก่อนคอยพยาบาลจนเขาหายดี ความสัมพันธ์ของพวกเขาไม่ค่อยโรแมนติก เป็นแบบแม่ห่วงลูกมากกว่า และมีส่วนของการดูแลเอาใจใส่ที่เขาต้องการ เอลซ่าไม่ได้เสแสร้งในเรื่องความสำเร็จทางวิชาการ ซึ่งทำให้เขาโล่งใจหลังจากที่ได้เจอแบบมิเลว่ามา ความสัมพันธ์ของพวกเขาลึกซึ้งยิ่งขึ้น แต่ก่อนแต่งงานกันไอน์สไตน์ต้องหย่ากับมิเลว่าก่อน การหย่าของพวกเขาเจ็บปวดอย่างมากสำหรับมิเลว่า ลูกๆและก็ไอน์สไตน์เอง ครอบครัวนั้นแตกสบายจริงๆ ในการเดินทางไปเบอร์ลินซึ่งตอนนั้นเขาเป็นศาสตราจารย์ชั้นนำแล้ว เขาไปเยี่ยมลูกๆบ้างเป็นครั้งคราว เขาบอกว่าเขาร้องไห้ตลอดทางกลับบ้านหลังจากได้เจอลูก

ปี1919 เป็นจุดเปลี่ยนชีวิตการงานและชีวิตส่วนตัวของไอน์สไตน์ ปีนั้นเขาหย่ากับมิเลว่าทำให้เป็นอิสระและแต่งงานกับเอลซ่าได้ เอลซ่านั้นหน้าตาไม่ดีเท่ามิเลว่า เอลซ่าประสบความสำเร็จกับเขาเพราะเธอดูแลเขาเหมือนกับภรรยาในยุคเก่าซึ่งเป็นสิ่งที่มิเลว่าไม่อาจจะเป็นได้ เธอทำอาหารเย็น เฮฮากับเพื่อนๆ และถอยออกห่างเมื่อไอน์สไตน์มีเพื่อนหญิง ปี1919 ยังเป็นปีที่มีปรากฏการณ์ธรรมชาติที่ไม่ปกติเกิดขึ้น สุริยุปราคา เป็นเหตุการณ์ที่พิสูจน์ว่าทฤษฎีสัมพันธภาพของไอน์สไตน์นั้นถูกต้อง เป็นจุดที่เขาคิดค้นและฝันถึง เขามีที่สำหรับเขาในประวัติศาสตร์แล้ว หนึ่งในคนแรกๆที่บอกเขาน่าจะเป็นผู้หญิงที่สำคัญที่สุดในชีวิต บุคคลที่เขาเห็นว่าสำคัญที่สุดที่ต้องบอกให้ได้และเขาก็มีความสุขที่สุดที่จะได้บอกว่า ในที่สุดเขาประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามและก็พลิกผันวงการฟิสิกส์ได้ นั่นก็คือแม่ของเขา เขาเขียนโปสการ์ดถึงเธอบอกว่า นี่ผมเพิ่งได้ยินว่าแสงดาวนั้นโค้งตอนเคลื่อนที่ผ่านดวงอาทิตย์ เป็นชัยชนะแท้จริง และทุกอย่างในการงานผมวิเศษมาก ผมมีความสุขมากที่ได้บอกแม่

ชั่วข้ามคืนไอน์สไตน์กลายเป็นคนมีชื่อเสียง ในหนึ่งปีหนังสือกว่าร้อยเล่มตีพิมพ์เรื่องทฤษฎีสัมพันธภาพ ไม่กี่คนเท่านั้นที่เข้าใจทฤษฎีนี้ว่าหมายถึงอะไร ไอน์สไตน์อธิบายไว้ในแบบที่ทุกคนเข้าใจได้ ถ้าคุณนั่งบนจานร้อนๆสักวินาที มันจะดูเหมือนนานเป็นชั่วโมง แต่ถ้าสาวสวยมานั่งบนตักของคุณหนึ่งชั่วโมงก็ดูเหมือนวินาทีเดียวเท่านั้นนั่นแหละครับสัมพันธภาพ ปี1921 ไอน์สไตน์และเอลซ่าเริ่มการเดินทางไปสู่อเมริกาเป็นครั้งแรก ที่นี่เขาได้รับการต้อนรับเยี่ยงดาราหนังหรือราชวงศ์ มีฝูงชนคอยตามเขาไปทุกที่ เอลซ่าชอบมากแต่ไอน์สไตน์ไม่ชอบเลย เขาตกใจจริงๆกับปฎิกิริยาที่เขาพบ ผู้คนมองเขาเหมือนเป็นพระเจ้า เขาเป็นบุคคลตัวอย่าง เป็นซุปเปอร์สตาร์อย่างแท้จริง มันดึงดูดสื่อมวลชนจำนวนมาก ไม่ว่าจะไปที่ไหนและนั่นทำให้เขาตกใจมาก  เขาบ่นเรื่องนักข่าวที่มาตั้งแคมป์อยู่นอกประตู มันมีความวุ่นวายเกิดมากเกินไป  มีคำขอสัมภาษณ์ที่มากเกินไป

ปี1922 ไอน์สไตน์ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ 10ปีต่อมาเขาเดินทางไปทั่วโลก บรรยายการค้นพบใหม่ของเขา ให้แฟนผู้อุทิศตนหลายคนฟัง เขากลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของคนรุ่นนั้น แต่ที่บ้านเกิดเยอรมันนี ไอน์สไตน์ไม่ถูกมองว่าเป็นอัจฉริยะแต่เป็นเพียงคนยิวคนหนึ่ง ปี1932 ฮิตเลอร์กำลังจะกลายเป็นเผด็จการแห่งเยอรมันนี ไม่มีคนยิวคนใดปลอดภัย โดยเฉพาะคนยิวที่ดังที่สุดในโลก ไอน์สไตน์คนยิวเป็นวลีที่ใช้บ่อยมาก พรรคนาซีที่กำลังจะรุ่งจะให้เงินสนับสนุนเมื่อไอน์สไตน์ไปพูด มีเรื่องเข้าหัวของเขาว่าบางทีเขาน่าจะไปซะ มีราคาค่าหัวของไอน์สไตน์ ลือกันว่าห้าพันดอลล่าห์หรือมากกว่านั้น ไอน์สไตน์กลับบอกว่า ฉันไม่คิดว่าฉันมีค่าขนาดนั้นหรอก ยุโรปกลายเป็นสถานที่อันตราย ไอน์สไตน์รู้ว่าเขาไม่มีอนาคตที่นั่น

ปี1932 ครอบครัวอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ล่องเรือไปอเมริกา ซึ่งพวกเขาไม่เคยกลับมายุโรปอีกเลย มันชัดเจนสำหรับเขาว่า เขาจะถูกจับสังหารหรือโยนเข้าค่ายกักกันก็ได้ ไอน์สไตน์ เอลซ่าและลูกสาวสองคนของเธอไปอยู่ในอเมริกา ไม่ช้าไอน์สไตน์ก็ทำงานหนักอีกครั้งหนึ่ง ที่น่าขันก็คือด้วยกฏของธรรมชาตินี่เองที่ทำให้ไอน์สไตน์นักรักสันติภาพตัวยงค้นพบสิ่งที่ถูกนำมาใช้ช่วยสร้างอาวุธทำลายล้างขนาดใหญ่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่มนุษยชาติเคยพบเห็นมา หลังหนีพวกนาซีในปี1932 นักวิทยาศาสตร์เจ้าของรางวัลโนเบล อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์และครอบครัวลงหลักปักฐานในอเมริกาขณะอายุ 56ปี เขารับตำแหน่งวุฒิการศึกษาขั้นสูงที่พรินซ์ตัน นิวเจอร์ซี่ เขาและภรรยาเอลซ่ากับลูกสาวของเธอสองคนที่เขารับเป็นลูก ลูกชายสายเลือดที่แท้จริงของเขาที่เขาแทบไม่เคยได้เห็นหรือพูดคุยด้วยยังอยู่ในยุโรปกับแม่

อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ชอบอเมริกา เขากลายเป็นพลเมืองอเมริกันเขารู้สึกสบายใจจริงๆในอเมริกาในแง่ที่ว่าเขามีความสงบและสันติ พรินซ์ตันเป็นที่ๆวิเศษสำหรับเขา เขาไม่ต้องรับผิดชอบด้านการสอน ไม่ต้องรับผิดชอบด้านการบริหาร เขาได้ทำอย่างที่เขาต้องการ ที่สถาบันไอน์สไตน์ได้ทำงานเรื่องทฤษฎีสนามรวม เป็นการพยายามอธิยายทุกสิ่งในธรรมชาติด้วยสมการเดียว เขาค้นหาต่อไปเพื่อความจริงอันเป็นที่สุด ความจรงที่เป็นเป้าหมาย ซึ่งเขาเชื่อว่าเข้าถึงได้โดยคณิตศาสตร์เท่านั้น แต่ไอน์สไตน์ไม่ได้อยู่ได้ด้วยงานทางวิชาการเท่านั้น เขาชอบผู้หญิงมาโดยตลอดและด้วยความที่เป็นคนดังก็มีสาวมากมายมาชอบเขา เขาไม่เคยมีขอบเขตส่วนตัว นั่นคือวิธีที่เขาใช้ชีวิต และเขาได้ชื่อว่าเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในโลก เขามีเงินมากมาย เขาดูแลตนเองเป็นอย่างดี เขาอยู่ในสภาพที่ดีและเขาก็มีกลุ่มคนล้อมรอบเขาทุกที่ ผู้คนจะแนะนำเขาให้รู้จักผู้หญิงอยู่เสมอ แล้วเขาก็จะเชิญผู้หญิงมาที่บ้าน แล้วเขาจะสวมเสื้อคลุมอาบน้ำผ้าไหม จะคุยกับเธอ เสื้อคลุมก็จะเปิดออกโดยไม่ตั้งใจ ถ้าเธอเล่นด้วยก็ดี  แต่ถ้าไม่ก็แล้วไป

มีสาวที่เด็กกว่าหลายคนที่เข้ามายุ่งเกี่ยวด้วย เอลซ่ายอมทน เธอไม่มีทางเลือก เพราะสำหรับการแต่งงานครั้งแรก ไอน์สไตน์ได้วางกฎเกณฑ์พื้นฐานในการใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน พวกเขาแยกห้องนอนกัน เขาจะคบใครก็ได้ที่เขาต้องการ ผู้หญิงจะมาในรถที่มีคนขับเพื่อไปดูโอเปร่ากับเขา อีกสองวันเขาถึงกลับบ้าน และผู้หญิงพวกนั้นต้องมีกล่องลูกอมมาฝากเอลซ่า เอลซ่าไม่พอใจเรื่องนี้แต่เธอก็ทำอะไรไม่ได้เลย เขาวิ่งไปมากับผู้หญิงมากมาย เธอไม่ได้มีความสุขเลยแม้แต่น้อย แต่ว่าเธอก็ยังยอมทนในแบบที่เธอทำใจไว้แล้ว ฤดูใบไม้ร่วงปี1935 เอลซ่าล้มป่วยหนัก 20ปีก่อนที่ไอน์สไตน์ล้มป่วย เธอพยาบาลจนเขาหายดี คราวนี้บทบาทสลับกัน ไอน์สไตน์ดูแลเธอจนวันสุดท้ายของเธอ เธอทึ่งกับความรักและการดูแลที่ไอน์สไตน์แสดงกับเธอตอนที่เธอกำลังจะตาย เอลซ่า ไอน์สไตน์เสียชีวิตในวันที่ 20 ธันวาคม ปี1936 อายุได้ 60 ปี ทั้งคู่แต่งงานได้เกือบ 17ปี หลังจากเธอตายไอน์สไตน์ก็กลับเข้าห้องทำงานทันที เขาบอกว่าเป็นทางที่ดีที่สุดที่เขาจะรับมือกับเหตุการณ์นี้

แต่งานของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์โดนขัดจังหวะ เมื่อทีมนักวิทยาศาสตร์ที่อพยพมา เล่าให้เขาฟังว่า นาซีอาจกำลังค้นพบอาวุธใหม่ที่น่ากลัว เขาตระหนักว่าถ้าอาวุธที่มีอำนาจสูงอย่างระเบิดปรมาณูตกอยู่ในมือของนาซี ก็จะกลายเป็นจุดจบของอารยธรรมได้และจะส่งผลให้มนุษยชาติถอยหลังกลับไปหลายศตวรรษ ยุโรปกำลังใกล้มีสงครามเข้ามา ไอน์สไตน์รู้สึกตกใจกับการยึดยุโรปของฮิตเลอร์ ไอน์สไตน์รู้ว่าลัทธินาซีเป็นตัวตนแห่งความชั่วร้าย และเขาเข้าใจว่าภายใต้สถานการณ์ที่พิเศษจริงๆ เมื่อมีความชั่วร้ายขั้นสุดยอด มันก็จำเป็นต้องใช้กำลัง อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ถูกบีบให้ต้องทิ้งความรักสันติ วันที่ 2 สิงหาคม ปี1939 อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ร่วมลงนามในจดหมายถึงประธานาธิบดีรูสต์เวล ให้ทราบถึงปรากฏการณ์ใหม่ที่จะนำไปสู่การสร้างระเบิด จดหมายนี้ช่วยให้เกิดโครงการแมนฮัตตัน เป็นการแข่งขันของอเมริกาเพื่อสร้างระเบิดปรมาณู

เขาถูกวิจารณ์ว่าไม่คงเส้นคงวา เขาอธิบายให้นักศึกษาฟังว่า ใช่ผมทำให้คุณผิดหวัง แต่เพื่อรับประกันว่าเสรีภาพให้คงอยู่ ชายคนนี้ อุดมการณ์นี้จะต้องหยุด ซึ่งเขาหมายถึงฮิตเลอร์ อเมริกันชนะการแข่งสร้างระเบิดปรมาณู และในเดือนสิงหาคม ปี1945 พวกเขาทิ้งระเบิดสองลูกใส่ที่ฮิโรชิม่าและนางาซากิ กว่าสองแสนคนเสียชีวิต เมื่ออัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ได้ยินข่าว เขาถึงกับทรุดลงแล้วบอกว่า ฉันน่าจะเผานิ้วของฉันที่เขียนจดหมายนั่นถึงประธานาธิบดีรูสต์เวล สำหรับทั่วโลกไอน์สไตน์เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นบิดาแห่งระเบิดปรมาณู พลังงานเท่ากับมวล นั่นคือหลักพื้นฐานของระเบิดปรมาณู แต่ต้องพูดถึงความเข้าใจว่า คุณต้องเปลี่ยนมวลเล็กน้อยให้เป็นพลังงานจำนวนมากแล้วทำให้ทั้งเมืองราบนั้นเป็นสิ่งที่ไอน์สไตน์ไม่เคยทำ เขาไม่เคยทำงานเรื่องปรมาณูหรือโครงการปรมาณูเลย

ความน่ากลัวของฮิโรชิม่าและนางาซากิคอยตามหลอน เขาคอยรณรงค์ต่อต้านการใช้อาวุธทำลายล้างสูงอย่างระเบิดปรมาณู ปี1949 อยู่ที่พรินซ์ตัน นิวเจอร์ซี่ ตอนรัสเซียทดลองระเบิดนิวเคลียร์ลูกแรก อเมริกาโดนความกลัวคอมิวนิสต์เข้าเกาะกุม หัวหน้าเอฟบีไอคนหนึ่งคิดว่าอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์เป็นคอมมิวนิสต์และคิดล้มล้างประเทศ เอฟบีไอได้เก็บข้อมูลเกี่ยวกับไอน์สไตน์และความคิดทางการเมืองมาหลายสิบปี พวกเขากล่าวหาไอน์สไตน์ว่าเขาเหมาะกับองค์กรคอมมิวนิสต์ยิ่งกว่าโจเซฟ สตาร์ลินซะอีก ไอน์สไตน์ถูกสอดแนมอย่างใกล้ชิดและถูกดักฟังทางโทรศัพท์ เรื่องราวทั้งหมดนั้นเป็นความลับ แต่ไอน์สไตน์นั้นยิ่งใหญ่พอและไม่สนใจว่ามีคนคิดกับเขาอย่างไร เขาเป็นชายที่มีความมั่นใจส่วนตัวมากๆ มีคนถามเขาว่าอะไรจะเป็นอาวุธหลักของสงครามโลกครั้งที่สาม เขาตอบว่าเขาไม่รู้ แต่รับประกันได้ว่าอาวุธหลักของสงครามโลกครั้งที่ 4 คือไม้กอล์ฟ ไม่มีอะไรเหลือ อารยธรรมจะถูกทำลาย

ปี 1955 ไอน์สไตน์ลงชื่อในคำร้องให้ล้มเลิกการผลิตอาวุธปรมาณูและสงคราม เขาบอกว่าตอนนี้เราต้องเขาหาพลเรือนเพื่อควบคุมอาวุธนิวเคลียร์ เข้าหาองค์กรระหว่างประเทศ รัฐบาลควรจะร่วมมือเพื่อเข้าสู่สันติภาพ แทนที่จะมุ่งสู่สงคราม เขาเป็นสัญลักษณ์ของศตวรรษที่20 แต่ในฐานะผู้ชาย เขาทำให้ครอบครัวผิดหวัง ความรักในวิทยาศาสตร์ของไอน์สไตน์ไม่เคยลดลง เขายังคงทำงานทุกวันเกี่ยวกับทฤษฎีของเขา จนวันที่ 18 เมษายน ปี1955 ตอนที่เขาเข้าโรงพยาบาลบ่นว่าเจ็บหน้าอกเป็นปัญหาที่ร้ายแรงที่อาจรักษาได้ เขาไม่ยอมผ่าตัดซึ่งอาจจะช่วยรักษาเขาได้ เขากลับบอกว่าพอแล้ว ฉันได้ทำงานในส่วนของฉันแล้ว ถึงเวลาต้องไปอย่างสวยงามสักที อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์เสียชีวิตต่อมาในวันนั้น เขาอายุ 76ปี นักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งโลกยุคใหม่ เขาไม่ต้องการพิธีการใหญ่โต เพื่อทำตามคำขอของเขา ศพของไอน์สไตน์ถูกเผาและอัฐิถูกโปรยลงในสถานที่ที่ไม่มีใครรู้ มรดกของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ก็คือแรงบันดาลใจ คือคนที่ประสบความสำเร็จในสิ่งที่ผู้คนไม่ค่อยกล้าที่จะทำ ไม่มีใครเหมือนเขามาก่อน เขาเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่เป็นที่รู้จักตลอดกาล

จัดอันดับ
สยองขวัญ
ประวัติศาสตร์
เมนูอาหาร
สุขภาพ

ประวัติศาสตร์กำแพงเมืองจีน (The Great Wall of China)

ประวัติศาสตร์กำแพงเมืองจีน (The Great Wall of China)
ประเทศจีนที่ซึ่งประวัติศาสตร์และตำนานสอดประสานกันอย่างสมบูรณ์แบบ จนบางครั้งมันเกือบเป็นไปไม่ได้ที่จะแยกเรื่องจริงออกจากนิทานในดินแดนที่สสารไม่จีรัง เหมือนหมอกยามเช้าในหุบเขาลุ่มแม่น้ำเหลือง กองหินมหึมาที่เรียกว่ากำแพงเมืองจีน โผล่ขึ้นมาจากพื้นดินทันทีทันใดเหมือนมังกรหลับใหล หนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของยุคโบราณและโลกปัจจุบัน ประวัติศาสตร์ของมันถูกห้อมล้อมด้วยเรื่องเล่าขานของเหตุการณ์นองเลือดและความบ้าคลั่ง มันถูกกล่าวว่าเป็นสิ่งก่อสร้างที่มนุษย์สร้างขึ้นที่ยาวที่สุดในโลก มังกรหินขนาดมหึมาที่ขนาดของมันไม่เพียงแต่น่าเกรงขาม แต่ยังเป็นแนวคิดของมันเอง มันเป็นการเปลี่ยนสัญลักษณ์ของความอัปยศ ความขัดแย้งของชาติ เป็นหลักการทางจิตวิทยาและวัฒนธรรมของประเทศจีนสมัยใหม่ด้วย

กำแพงเมืองจีนกลายเป็นสัญลักษณ์อย่างไม่เป็นทางการของประเทศจีนในปี 1972 เมื่อประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน เดินเข้าไปในระหว่างการเยือนเพื่อเปิดสัมพันธ์ทางการฑูตกับประเทศจีน เขากล่าวว่า "ผมคิดว่าคุณต้องพูดได้ว่า มันต้องเป็นกำแพงอันยิ่งใหญ่ ถูกสร้างโดยคนของประเทศที่ยิ่งใหญ่" แต่ชาวจีนเองไม่รู้สึกภูมิใจกับมันเสมอไป มุมมองเดิมของจีนต่อกำแพงก็คือพวกเขาคิดว่า มันเป็นสัญลักษณ์ของรัฐบาลที่กดขี่ ความอ่อนแอทางทหารและความไร้ประโยชน์ มันเป็นสัญลักษณ์ของการทนทุกข์ของชาวจีนภายใต้การปกครองแบบกดขี่ มันเริ่มขึ้นที่บริเวณภูเขาบรรจบกับทะเล ที่ชางไห่กวนและทอดยาวผ่านภาคเหนือของจีนไปจรดขอบทะเลทรายโกบี ก่อให้เกิดระบบที่เรียกว่ากำแพงยาวซึ่งกินระยะทางหลายพันไมล์ของดินแดนจีน และความสง่างามของมันได้รับการเฉลิมฉลองอย่างกว้างขวางทั้งในนิทานและในตำนาน

ถึงกระนั้นโลกตะวันตกก็ไม่ได้รับรู้ถึงการปรากฏอยู่ของกำแพงเมืองจีนเป็นเวลากว่า 1,500 ปี ที่ไม่น่าเชื่อก็คือ มันไม่ปรากฏอยู่ในภาพวาดของจีนสมัยนั้น หรือในบันทึกของมาโคโปโลตอนที่เขามาประเทศจีนในศตวรรษที่ 13 ในความเป็นจริงชาวจีนไม่ได้เรียกมันว่ากำแพงอันยิ่งใหญ่ จนกระทั่งศตวรรษที่ 20 ที่โลกตะวันตกหลงใหลมันจนตั้งชื่อนี้ให้ ในตอนต้นของศตวรรษที่ 20 เริ่มมีแนวคิดแบบตะวันตกที่สถาปนาให้กำแพงเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของประเทศจีน และชาวจีนก็ยอมรับแนวคิดนี้ เพื่อให้มันกลายเป็นหนึ่งในวัฒนธรรมสมัยใหม่ของประเทศจีน

ในปี 1908 นักเขียนและนักผจญภัย วิลเลี่ยม เอดการ์ กิล (William Edgar Geil) กลายเป็นชาวอเมริกันคนแรกที่เดินทางตลอดแนวกำแพง ข้อสังเกตของเขาเป็นคำเชื้อเชิญมากกว่าคำชมเชย และคำประกาศอันน่าอับอายของเขาถูกนำมากล่าวซ้ำจนถึงปัจจุบันว่า "กำแพงเมืองจีนคือสัญลักษณ์แห่งยุคทองของจีน มันยาว 1,700 ไมล์ และเป็นสิ่งก่อสร้างฝีมือมนุษย์ที่มองเห็นด้วยตาเปล่าจากดวงจันทร์" ซึ่งจริงๆแล้วเราไม่สามารถเห็นกำปพงเมืองจีนได้จากดวงจันทร์ เรื่องราวนี้ถูกแพร่ออกไปตอนที่มีการขึ้นสู่อวกาศ และมันก็เป็นที่รู้กันดีในหมู่นักบินอวกาศ ในหมู่คนที่เคยออกไปอยู่ในอวกาศว่า คุณไม่สามารถเห็นกำแพงเมืองจีนได้จากอวกาศได้ และนักบินอวกาศมักจะบอกว่า มีคนไม่น้อยที่ถามคำถามนี้ แต่เรื่องเล่าอื่นๆยังคงอยู่และแทบไม่เคยได้รับการยืนยันจากวิทยาศาสตร์

มีการคำนวณทุกชนิดในศตวรรษที่ 19 ออกมาว่า คุณเอาหินทุกก้อนจากกำแพงมาเรียงใหม่ได้รอบเส้นศูนย์สูตร หรือว่ามันมีมวลเท่ากับบ้านทุกหลังในอังกฤษและสก็อตแลนด์ และเรื่องเหล่านี้ก็อยู่มาจนถึงในศตวรรษที่ 20 ตำนานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของกำแพงเมืองจีนก็คือ มันมีกำแพงเมืองจีนจริงหรือไม่ มันเต็มไปด้วยความสงสัยว่ากำแพงเมืองจีนเคยปรากฏอยู่ในฐานะแนวป้องกันชิ้นเดียวยาวต่อเนื่องข้ามภาคเหนือของประเทศจีน มันน่าจะเป็นกำแพงไม่ต่อเนื่องหลายชุดที่สร้างในเวลาต่างๆ กัน โดยผู้คนต่างๆ กัน เพื่อจุดประสงค์ต่างๆ กัน แล้วนำมาต่อกัน ปล่อยให้ผุพัง สร้างใหม่ และขยายออกในช่วงราวๆ 2,000 ปี เมื่อคนคิดถึงกำอพงเมืองจีน พวกเขาคงจะคิดถึงสิ่งก่อสร้างใหญ่โต ยาวต่อเนื่องกันหลายพันไมล์ข้ามประเทศจีน แน่นอนว่าความจริงมันต่างจากนั้นมาก กำแพงถูกสร้างเป็นชิ้นๆ ส่วนใหญ่แล้วมันไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าซากปรักหักพังทางโบราณคดีเลย และในพื้นที่ห่างไกลของจีนส่วนใหญ่มันก็ถูกทับถมไปแล้ว

ส่วนของกำแพงที่ถูกสร้างในราชวงศ์หมิงที่ยังเหลืออยู่ ส่วนที่พวกเขาสร้างในศตวรรษที่ 16 นั้นน่าทึ่งมาก มันเป็นกำแพงอิฐตันอยู่บนภูเขาสูงชันพร้อมด้วยหอสังเกตการณ์ และมันก็ยากมากที่จะจินตนาการว่าพวกเขาสร้างมันจนเสร็จได้อย่างไร สำหรับขนาดอันใหญ่โตและมิติอันหนักแน่นของมัน กำแพงเมืองจีนยังคงมีปริศนาซ่อนอยู่ มันไม่เคยได้รับการสำรวจอย่างทั่วถึง และแม้แต่ในปัจจุบัน ไม่มีใครแน่ใจถึงความยาวและเส้นทางแท้จริงของมัน ประวัติศาสตร์ของกำแพงเมืองจีนที่ตกมาถึงเรา คือการผสมผสานอันแปลกประหลาดของความจริงและจินตนาการ หลักฐานอันหนักแน่นเพียงเล็กน้อยหลอมรวมกับเรื่องเล่าขานและตำนาน และมันก็แทบเป็นไปไม่ได้ที่จะแยกมันออกจากกัน

ไม่เคยมีอารยธรรมใดที่ดูจะนิยมการสร้างกำแพงมากกว่าชนชาติจีนอีกแล้ว การตั้งถิ่นฐานครั้งแรกสมัยยุคหินกลางหรือนีโอลีธิก (Neolethics) ส่วนสำคัญของเมืองถูกล้อมรอบด้วยคันดินถม อันที่จริงแล้วคำว่าชางที่แปลว่าเมืองในภาษาจีนยังแปลว่ากำแพงอีกด้วย กำแพงเมืองจีนคือกำแพงซ้อนกำแพง กำแพงเมืองจีนเป็นส่วนปกป้องกำแพงที่ซ้อนกันอยู่ทั้งปวง รวมถึงกำแพงของบ้านพักอาศัยด้วย กำแพงเป็นส่วนลึกล้ำทางประวัติศาสตร์ของวัฒนธรรมจีน พวกเขาสร้างกำแพงล้อมรอบบ้านและวัด เทพเจ้าของกำปพงและอาคารมีอำนาจเหนือขอบเขตความเป็นและความตาย คนจีนสร้างกำแพงเพื่อระบุขอบเขตของพวกตน เพื่อป้องกันผู้แปลกหน้าจากที่ห่างไกล กำแพงในบางแห่งอาจมีความสำคัญในบางพิธีกรรมด้วย ประเทศจีนสมัยก่อนเป็นอาณาจักรที่ปราศจากความสงบ การที่ชนเผ่าเร่ร่อนทางเหนือและอาณาจักรข้างเคียงที่ตื่นตัวทุกครั้งเมื่อมีสัญญาณของความอ่อนแอ กำแพงจึงถูกมองว่าเป็นความจำเป็นทางยุทธศาสตร์

จนสิ้นศตวรรษที่ 8 ก่อนคริสตกาล บริเวณที่กลายเป็นประเทศจีนได้ก้าวเข้าสู่ยุคของความขัดแย้งระหว่างรัฐที่ยาวนานถึง 500 ปี มันประกอบด้วยรัฐที่ปกครองด้วยระบบขุนนางและรัฐเล็กๆ ที่ปกครองด้วยระบบศักดินาที่มารวมตัวกันหลายแห่งมารวมตัวกันอยู่ภายใต้การปกครองของราชวงศ์ซึ่งมีอำนาจทางจิตใจและพิธีกรรมมากกว่าในทางปฏิบัติ จนถึงกลางศตวรรษที่ 4 ก่อนคริสตกาล เกียรติยศและพันธไมตรีที่มอบให้จักรพรรดิต้องหลีกทางให้กับความเห็นแก่ตัวและการเข่นฆ่า มันคือช่วงสงครามระหว่างแคว้นที่ชาวจีนเริ่มสร้างกำแพงขึ้นอย่างจริงจัง แคว้นฉีสร้างกำแพงขึ้นตามแนวชายแดนด้านใต้เพื่อป้องกันศัตรูจากแคว้นฉู แคว้นฉูสร้างกำแพงตามแนวชายแดนด้านเหนือเพื่อป้องกันตนเองจากแคว้นฉิน แคว้นเยนและแคว้นเฉาสร้างกำแพงเพื่อป้องกันตนเองจากพวกเร่ร่อนทางเหนือและจากกันและกัน กำแพงมีความยาวทั้งหมดประมาณ 2,800 ไมล์ กำแพงถูกสร้างขึ้นตามแนวชายแดนของแคว้นต่างๆ ที่ทำสงครามกัน

ในยุคหนึ่งมีแคว้นต่างๆ ถึง 120 แคว้น เมื่อถึงช่วงสูงสุดของสมัยสงครามระหว่างแคว้น และมีเพียง 7 แคว้นที่เหลืออยู่ มีการทำลายแคว้นเล็กๆ มากมายทั่วทั้งประเทศจีน ที่หลงเหลือมาจากสมัยสงครามระหว่างแคว้นคือ ปรัชญาชีวิตหลักของจีนที่เริ่มก่อตัวขึ้น ขณะที่มีผู้มีความรู้พยายามคิดว่า สิ่งใดผิดพลาดและจะแก้ไขมันอย่างไร ในศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาล ขงจื๊อเห็นถึงความจำเป็นในการเคารพกฎและความสำคัญระหว่างมนุษย์และสวรรค์อย่างเคร่งครัดและเสียใจกับการมีสงครามและกำแพง ลัทธิกลุ่มหนึ่งคือลัทธิเต๋าค้นพบคำตอบในธรรมชาติและเชื่อว่า ทุกสิ่งมีสภาพเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาพลังหยินและหยาง เพราะฉะนั้นการดิ้นรนและสงครามจึงเป็นเรื่องไร้สาระ ถ้าปรัชญาเหล่านี้กลายเป็นนโยบายระหว่างรัฐ มันคงเป็นไปได้ยากที่กำแพงจะถูกสร้างขึ้นมา

แต่แคว้นฉินใช้ระบอบการปกครองเบ็ดเสร็จด้วยกฎหมายการลงโทษและการให้รางวัล มีเรื่องเล่าที่ดีมากเกี่ยวกับคนดูแลมงกุฏและคนดูแลเสื้อคลุม ในคืนหนึ่งที่ฮ่องเต้หลับอยู่หน้าบริเวณเตาผิง คนดูแลมงกุฏจึงนำเสื้อมาคลุมให้ท่าน ฮ่องเต้ตื่นขึ้นมาถามว่า ใครห่มเสื้อคลุมให้ฉัน ผู้ดูแลมงกุฏก็ตอบว่าข้าเอง แล้วฮ่องเต้ก็สั่งให้นำตัวไปประหารทันทีเพราะนั่นไม่ใช่หน้าที่ของเขา เรื่องเหล่านี้เป็นแนวทางของกองทัพฉินในศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสตกาล พวกเขาเริ่มเคลื่อนกำลังข้ามแผ่นดินจีนผนวกเอาแคว้นต่างๆ เข้าไปเหมือนหนอนไหมกัดกินใบหม่อนตามบันทึกนักประวัติศาสตร์ของราชวงศ์ฮั่น 246 ปี ก่อนคริสตกาล เหตุการณ์สำคัญก็เป็นจุดเปลี่ยนของเรื่องที่เกิดขึ้น เด็กชายอายุ 13 ก้าวเข้าสู่บัลลังค์ของแคว้นฉิน เขาเป็นที่รู้จักในนามของจิ๋นซีฮ่องเต้ จักรพรรดิคนแรกของประเทศจีน ตำนานกล่าวว่าเขาบินไปยังดวงจันทร์ด้วยพรมวิเศษในความฝัน เมื่อมองลงมาเขาเห็นอาณาจักรของเขามีภัยคุกคามจากศัตรูมากมาย เขาปลุกบรรดาที่ปรึกษาขึ้นมาแล้วบอกว่า ข้าจะสร้างกำแพงที่ยิ่งใหญ่

ในปี 1974 ชาวนาที่กำลังขุดบ่อน้ำพบหลักฐานทางโบราณคดีที่น่าทึ่ง มันคือหลุมฝังตุ๊กตากระเบื้องพลทหาร พลธนู รถม้าศึกและม้า ทั้งหมดนี้มีขนาดเท่าของจริงและแต่ละตัวนั้นแตกต่างกันดูราวกับว่ามีต้นแบบมาจากของจริง ทุกวันนี้ตุ๊กตามากกว่า 6,000 ตัวถูกขุดขึ้นมา กองทัพกระเบื้องเคลือบที่ถูกออกแบบให้สู้ศึกเพื่อฮ่องเต้ในโลกหน้า หรือบางทีเพื่อคุ้มกันการหลับใหลชั่วนิรันดร์ในอาณาจักรของพระองค์ ในบริเวณใกล้เคียงเป็นหลุมฝังพระศพของจิ๋นซีฮ่องเต้ จักรพรรดิองค์แรกของจีน หรือที่ขนานนามกันว่าปฐมกษัตริย์ ตามบันทึกที่ตกทอดสู่ราชวงศ์ต่อมา การขึ้นครองราชย์ของจิ๋นซีฮ่องเต้มีที่มาค่อนข้างคลุมเครือ พระมารดาของพระองค์เป็นนางระบำสาวเสน่ห์แรงและเป็นภรรยาน้อยของพ่อค้าเร่ผู้มีเล่ห์เหลี่ยมมากพอกับความร่ำรวย ขณะที่เข้ามาค้าขายในพระราชวัง พ่อค้าขอให้เธอเต้นรำกับรัชทายาทของราชวงค์ฉิน เมื่อพระองค์ตกหลุมรักเขาก็ยกเธอให้พระองค์ โดยไม่เคยเอ่ยปากเลยว่านางกำลังตั้งครรภ์บุตรของเขาอยู่ องค์รัชทายาทสิ้นพระชนม์หลังขึ้นครองราชย์ไม่นาน แล้วจากนั้นจิ๋นซีฮ่องเต้ก็สืบทอดบัลลังค์ตั้งแต่ยังเยาว์วัย

ขณะที่ฮ่องเต้น้อยเติบโตขึ้น พระองค์เริ่มแสดงอุปนิสัยแปลกๆ และเกิดอาการวิตกกังวล พระองค์สั่งเนรเทศพระมารดา และสั่งพระบิดาอดีตพ่อค้าที่ว่าราชการแทนในวัยเยาว์ของพระองค์ให้ฆ่าตัวตาย พระองค์เรียกโหร หมอผี และที่ปรึกษาเจ้าเล่ห์ ไร้ศีลธรรมหลายคนให้เข้ามารับใช้ใกล้ชิด ประมาณ 234 ปีก่อนคริสตกาล พระองค์ส่งกองทัพออกไปเพื่อพิชิตแผ่นดินจีนที่บรรพบุรุษได้เริ่มไว้ เมื่อเกิดสงครามระหว่างแคว้นก็มีแคว้นอิสระแยกตัวออกมา และท้ายที่สุดก็เหลือเพียงสองแคว้น จนเมื่อ 221 ปีก่อนคริสตกาล ประเทศจีนก็รวมเป็นหนึ่งเดียว เมื่อแคว้นฉินทำลายแคว้นฉีจนได้ จิ๋นซีฮ่องเต้ประกาศว่าตนคือจักรพรรดิของแผ่นดินใหม่ที่พระองค์ตั้งชื่อว่าจีน ตามราชวงค์ของพระองค์ และรีบรวมอำนาจอย่างรวดเร็ว จิ๋นซีฮ่องเต้สร้างอาณาจักรขึ้น ซึ่งมันไม่เคยมีมาก่อน พระองค์สร้างระบบถนนภายในประเทศ พระองค์สร้างมาตรฐานให้กับอักษรจีน พระองค์รวมสกุลเงินจีนต่างๆเป็นหนึ่งเดียว พระองค์สร้างมาตรฐานให้อาณาจักร พระองค์ทำให้มันเป็นเอกภาพ พระองค์ยังสนใจเรื่องเวทมนต์ การเล่นแร่แปรธาตุอย่างเหลือเชื่อ และเชื่อว่าพระองค์สามารถเอาชนะความตายและเป็นอมตะได้ พระองค์อยากเป็นคนครองโลก

จิ๋นซีฮ่องเต้ตั้งมาตรฐานการชั่ง ตวง วัด ด้วยระบบที่มีพื้นฐานอยู่บนเลขหก อันเป็นเลขมหัศจรรย์ของพระองค์ พระองค์ประกาศว่าสีดำคือสีที่มีพลังลึกลับของพระองค์เป็นสีทางการสำหรับเสื้อผ้าและธงของอาณาจักรและสถาปนาตนเองขึ้นเป็นปฐมกษัตริย์ และออกพระราชบัญญัติว่าราชวงศ์ฉินจะปกครองตลอดไป จากนั้นพระองค์ก็ตัดสินพระทัยสร้างกำแพง ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าความคิดของการสร้างกำแพงเมืองจีนเข้ามาอยู่ในพระทัยของจักรพรรดิเมื่อใด หรือทำไมพระองค์ตัดสินพระทัยสร้างมัน ตำนานหนึ่งเล่าว่าหนึ่งในโหรของพระองค์ทำนายว่าราชวงค์ของพระองค์จะล่มสลายด้วยฝีมือของเผ่าคนเถื่อนจากภาคเหนือ ส่วนเรื่องอื่นก็เกี่ยวกับความฝัน ลางบอกเหตุ และความตั้งพระทัยของจักรพรรดิที่จะสร้างอนุสรณ์ถึงความรุ่งเรืองของพระองค์เมื่อใดก็ตามที่มีโอกาส

จิ๋นซีฮ่องเต้แต่งตั่งให้นายพลเม้งเทียน นายทหารผู้แข็งขันและมากด้วยความสำเร็จรับผิดชอบการสร้างกำแพง เพื่อจะแบ่งแยกผู้คนที่มีอารยธรรมจากพวกคนเถื่อน และปีศาจร้ายที่อาศัยอยู่พื้นที่ว่างเปล่าทางเหนือ  กำแพงเริ่มต้นตั้งแต่ทะเลเหลืองทางตะวันออกไปจนถึงทะเลทรายโกบีทางตะวันตก มันต้องมีความสูง 24 ฟุต และมีความกว้างมากพอที่นายทหาร 8 นายจะเดินเรียงหน้ากระดานได้ กำแพงต้องสร้างตามลักษณะภูมิประเทศตราบเท่าที่เป็นได้และต้องไม่สร้างเป็นเส้นตรง เพราะเชื่อว่าปีศาจเดินทางได้เป็นเส้นตรงเท่านั้น เทคนิคการสร้างกำแพงแตกต่างกันอย่างมากในแต่ละที่ และมีกำแพงของจิ๋นซีฮ่องเต้เหลืออยู่น้อยมากจนไม่สามารถบอกได้ว่ามันถูกสร้างอย่างไร กระนั้นนักวิชาการเชื่อว่ามันถูกใช้เป็นแนวไว้สำหรับสร้างเพิ่มเติมตามรากฐานของมัน

นายพลเม้งเทียนเริ่มด้วยการสร้างหอคอยก่อน โดยสร้างจากอิฐและหินโดยมีฐานเป็นเศษหิน หอคอยเหล่านี้สูงประมาณ 40 ฟุต มีฐานเป็นสี่เหลี่ยมจตุรัสขนาด 40 ฟุต เมื่อสร้างหอคอยเสร็จแล้วมันจะถูกเชื่อมเข้าด้วยกำแพงหิน เพื่อป้องกันผู้รุกรานและปีศาจร้าย ป้อมปราการที่ใหญ่พอที่จะบรรจุทหารได้หลายร้อยนายถูกจัดวางอยู่ในระยะธนู 2 ดอก เพื่อให้สามารถคุ้มกันพื้นที่ระหว่างนี้ได้ หอคอยโผล่ออกมาจากกำแพงเหมือนป้อมปืน ดังนั้นฝ่ายป้องกันสามารถยิงใส่ผู้รุกรานได้ตลอดแนวกำแพง มีการประมาณว่าชาวแคว้นฉินภายใต้การดูแลของนายพลเม้งเทียน ก่อสร้างกำแพงใหม่หลายร้อยไมล์ส่วนที่เหลือเป็นการก่อสร้างเพิ่มจากของเดิมที่แคว้นอื่นทำไว้แล้วรวมกับของใหม่ สิ่งที่พวกเขาทำก็คือการเชื่อมกำแพงรุ่นก่อนๆที่สร้างในสมัยสงครามระหว่างแคว้น พวกเขาใช้เทคนิคการบดอัดดิน เป็นเทคนิคเดียวที่พวกเขารู้จัก ซึ่งมันไม่ได้แตกต่างจากกำแพงในยุคนีโอลีธิกส์เลย เพียงแต่มันมีขนาดที่ใหญ่กว่าเท่านั้นเอง

ในภูเขาทางทิศตะวันออก ดินแห้งถูกนำมาถมระหว่างกำแพงหินหรืออิฐจนได้ระดับที่แน่นพอเพียง จากนั้นหินหรืออิฐจะถูกนำมาเรียงทับหน้าเพื่อป้องกันฝนชะล้างและใช้เป็นถนน ห่างออกไปทางทิศตะวันตก ซึ่งเป็นหินตะกอนละเอียดที่เรียกว่าดินเหลือง คนงานจะเทดินที่ผสมกับน้ำลงในพิมพ์ไม้แล้วนำไปก่อเป็นโครงสร้างให้แข็งแรงเมื่อมันแห้งแล้ว บนพื้นที่แห้งแล้งของที่ราบฝั่งตะวันตก กำแพงถูกสร้างจากใบต้นปาล์ม ต้นกก แสม กับกรวดและโคลน ไปจนสิ้นสุดที่ริมทะเลทรายอันกว้างใหญ่ เลยไปจากนั้นเป็นดินแดนที่สิงสถิตย์ของวิญญาณร้าย นายพลเม้งเทียนสร้างกำแพงเหล่านี้เสร็จภายในเวลาน้อยกว่า 10 ปี หรือเสร็จก่อน 210 ปีก่อนคริสกาล แต่เรื่องราวที่คาดการณ์เกี่ยวกับมูลค่าของมันในแง่ความทุกข์ทรมานและชีวิตที่สูญเสีย เรื่มแพร่กระจายออกไปแล้ว

แรงงานจำนวนมากมาจากการเกณฑ์ชาวนาผสมกับนักโทษ ทหารที่ถูกจับได้ ขุนนางตกยาก นักปราชญ์ และคนอื่นๆที่ถูกเรียกว่าเป็นศัตรูของอาณาจักร เป็นที่กล่าวกันว่าทุกๆสิบคนที่ถูกเกณฑ์มา มีเพียงสามคนรอดกลับบ้าน จักรพรรดิมีคำสั่งอีกว่า ใครก็ตามที่แอบหลับจะต้องถูกฝังทั้งเป็นไว้บนกำแพงนั่นเอง ความทรงจำอันแพร่หลายของการสร้างกำแพงก็คือ ชาวนาถูกกวาดต้อนมาทำงานแล้วก็ไม่เคยกลับไปอีกเลย โดยถูกใช้งานเยี่ยงทาสจนเสียชีวิตในผืนป่าที่ห่างไกล มันเป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก และมีเรื่องเล่าว่า ศพของชาวนาถูกโยนทิ้งลงไปในช่องว่างระหว่างกำแพง ซึ่งเป็นที่ใส่เศษหิน ความเลวร้ายนี้ถูกระบายออกมาผ่านบทกวีมากมาย ชิ้นที่มีชื่อเสียงที่สุดก็คือตำนานของคุณนายเม็ง หนึ่งในเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่ที่เด็กๆเรียนในช่วงยี่สิบปีแรกของการปกครองระบบสังคมนิยม เป็นเรื่องของหญิงคนหนึ่งตามหาสามีของเธอที่ถูกจิ๋นซีฮ่องเต้ส่งไปเป็นแรงงานทาสที่กำแพงนั่น แล้วเธอก็พบว่าเขาตายแล้วและอาจจะถูกฝังอยู่ในกำแพงเหมือนกับหลายๆคน ดังนั้นกำแพงจึงถูกมองว่าเป็นผลงานของความกดขี่ของระบอบขุนนาง ซึ่งถูกสร้างโดยหยาดเหงื่อของคนธรรมดาภายใต้การทารุณของทรราชย์ ขณะที่ในตอนนี้กำแพงนั้นถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของความยิ่งใหญ่ของประเทศจีน ความยั่งยืนของอารยธรรมของมัน เป็นการแสดงพลังอำนาจ ประวัติศาสตร์

เมื่อการก่อสร้างล่าช้ากว่ากำหนด หนึ่งในโหรของจักรพรรดิกล่าวว่า กำแพงจะไม่มีวันเสร็จ ถ้าไม่มีการฝังคนหนึ่งหมื่นคนทั้งเป็นในนั้น จักรพรรดิรู้สึกว่าพระองค์ไม่อาจเสียคนขนาดนั้นได้ จิ๋นซีฮ่องเต้แก้ปัญหาด้วยการหาชายคนหนึ่ง ซึ่งชื่อของเขามีตัวอักษรที่มีความหมายว่าหนึ่งหมื่นมาฝังไว้ในกำแพงแทน ประมาณกันว่ามีคนงานสร้างกำแพงหนึ่งล้านคนระหว่างการทำงานที่ยาวนานหลายปีในสภาพแวดล้อมที่ยากลำบาก และไม่ต้องสงสัยเลยว่ามีผู้เสียชีวิตมากมายจากภูมิอากาศ ความเหนื่อยล้า และความอดอยาก แม้กระทั่งทุกวันนี้ยังมีเรื่องเล่าที่ว่าศพของพวกเขาถูกฝังตรงที่เสียชีวิตอยู่ในสุสานยาวที่สุดในโลกตลอดกาล หลังจากรวมประเทศจีนเข้าเป็นหนึ่งเดียวไม่ทันถึงสิบปี การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นอีก โครงการสาธารณะเช่น คลอง ถนน และระบบเกษตรกรรม ได้รับการก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์ ขณะนี้เมื่อมีกำแพงใหญ่ล้อมรอบ จิ๋นซีฮ่องเต้ทรงประกาศว่าไม่มีใครจะเอาชนะอาณาจักรของพระองค์ได้ แต่มีสุภาษิตจีนกล่าวไว้ว่า สูงสุดคืนสู่สามัญ

แม้ขณะที่กำแพงอยู่ระหว่างการก่อสร้าง จิ๋นซีฮ่องเต้ยังคงถลำลึกลงไปในเรื่องไสยศาสตร์และความวิปลาส สองร้อยสิบสามปีก่อนคริสกาล พระองค์ตัดสินพระทัยว่าประวัติศาสตร์ควรเริ่มต้นที่พระองค์และสั่งให้เผาหนังสือประวัติศาสตร์ทั้งหมด ใครที่พบว่ามีหนังสือเหล่านี้อยู่ในครอบครองหลังการประกาศจะถูกส่งไปใช้แรงงานสร้างกำแพง หรือถูกฝังทั้งเป็น ประมาณการว่านักปราชญ์ 460 คนเสียชีวิต เมื่อบุตรชายองค์โตและเป็นรัชทายาทของพระจักรพรรดิคัดค้านนโยบายนี้ เขาก็ถูกเนรเทศให้ไปช่วยงานนายพลเม้งเทียนทางเหนือ ขณะที่จักรพรรดิมีพระชนม์มายุเพิ่มขึ้น ความลุ่มหลงกับความตายของพระองค์ก็เพิ่มมากขึ้น ถึงแม้จะมีบันทึกว่าพระองค์เข้าเยี่ยมชมการก่อสร้างกำแพงของพระองค์เพียงครั้งเดียว และมีรายงานว่าพระองค์ออกเดินทางค้นหายาที่จะทำให้เป็นอมตะถึง 5 ครั้ง แต่พระองค์ก็สิ้นพระชนม์เมื่อมีอายุได้ 49 พรรษา ในการเดินทางครั้งหนึ่ง การสิ้นพระชนม์ของพระองค์อาจเกิดจากยาที่มีสารอันตรายอย่างตะกั่วหรือสารหนูที่พระองค์เสวยเข้าไปเพื่อเสาะหาชีวิตอมตะ

ราชวงค์ของพระองค์ล่มสลายด้วยน้ำมือของบุตรชายคนที่สองที่ชื่อ อู๋ไห่ การที่รัชทายาทอันชอบธรรมอยู่ระหว่างการถูกเนรเทศ ทำให้อู๋ไห่ขึ้นครองราชย์อาณาจักรฉิน พร้อมความเจ้าเล่ห์ โหดร้ายที่เหมือนพระบิดา แต่ขาดซึ่งความเข้มแข็งและความเป็นผู้นำแบบจิ๋นซี เขาสั่งขังที่ปรึกษาทั้งหมดของพระบิดา รวมทั้งนายพลเม้งเทียน ผู้ซึ่งฆ่าตัวตายหลังจากไตร่ตรองความโชคร้ายของตนและกล่าวว่า เขาสมควรตาย เพราะเขาละเมิดชี่ อันเป็นการไหลของพลังงานโลกด้วยการก่อสร้างกำแพงที่ละเมิดพื้นที่ภูเขา แม่น้ำ และพื้นที่ธรรมชาติอื่นๆ  อู๋ไห่ครองราชย์ได้เพียงสี่ปี ก่อนที่ฝ่ายกบฏจะล้มล้างเขา และประเทศจีนกลับเข้าสู่สงครามกลางเมืองอีกครั้ง ราชวงค์อันยิ่งใหญ่ที่หวังจะได้อยู่ตลอดกาล กลับได้อยู่เพียง 15 ปี นับเป็นการปกครองที่สั้นที่สุดที่เคยปกครองจีน

ด้วยความมหึมาใหญ่โตและแข็งแรงของกำแพง มันกลับไม่มีประสิทธิภาพนัก ในการป้องกันการรุกรานของเผ่าเร่ร่อนทางเหนือ เป็นที่รู้จักกันในนามทาทา ตามชื่อในสมัยกลางที่แปลว่านรก ชาวจีนกล่าวว่าพวกนี้โหดร้ายผิดมนุษย์ กินเนื้อสุนัขและม้าเป็นอาหาร และกินเลือดจากศัตรูของพวกเขา มีร่างกายแข็งแรง จิตใจเหี้ยมโหด และไม่มีใครเอาชนะได้ในสงคราม หนึ่งในพวกนั้นที่โจมตีกำแพงเมืองจีน คือผู้นำมองโกลที่เหี้ยมหาญ ผู้ซึ่งชื่อของเขามีความหมายเดียวกับความน่ากลัวทั่วอาณาจักรฉินและทั่วโลก เจงกิสข่าน

เป็นเวลากว่าพันปีหลังการสิ้นพระชนม์ของจักรพรรดิองค์แรกที่ราชวงค์ต่อมาสร้างกำแพงเพิ่มเติมหรือปล่อยให้มันผุพัง ขึ้นกับความจำเป็นทางการทหารและบรรยากาศทางการเมืองขณะนั้น บางราชวงศ์ เช่นราชวงศ์ฮั่น ซ่อมแซมกำแพงบางส่วน ต่อเติมและสร้างกำแพงของตนเอง ราชวงศ์อื่นเช่นราชวงศ์ถัง ผู้เชื่อมั่นว่ามันเป็นเครื่องป้องกันไร้ประโยชน์และมีค่าดูแลรักษาสูงจึงปล่อยให้มันผุพังไป การล่าสังหารของเผ่าคนเถื่อนดำเนินต่อไปโดยผู้รุกรานที่ประสบชัยชนะส่วนใหญ่ที่ค่อยๆแทรกซึมเข้ามาในวัฒนธรรมจีนทีละน้อย จนกลายเป็นคนจีนมากกว่าคนจีนเอง กำแพงถูกสร้างขึ้นมาเพื่อปกป้องความมีอารยธรรมกับพวกป่าเถื่อน แต่ความจริงแล้วกำแพงนั้นทะลุปรุโปร่ง มันถูกข้ามได้อย่างง่ายดายมาก ความคิดที่จะปิดกั้นพรมแดนนั้นไม่มีทางได้ผล ชนเผ่าเร่ร่อนจะหาทางข้ามมาได้เสมอ พวกเขาจะหารอยแตกในกำแพง บางทีคนที่คุมกำแพงก็ปล่อยให้พวกเขาเข้ามาเฉยๆ หรือแม้กระทั่งในสมัยราชวงศ์หมิง ในยุครุ่งเรืองของการสร้างกำแพง ถ้าพวกนั้นไม่หาทางอ้อมไปก็เข้ามาทางประตูแล้วเดินทางไปถึงกรุงปักกิ่งนั่นเลย

ตำนานกล่าวว่าเจงกิสข่านเกิดขึ้นมาพร้อมกำก้อนเลือดไว้ในมือขวา ซึ่งเป็นลางบอกอนาคตอันนองเลือดของเขา ขณะที่เป็นหนุ่มเขาปราบปรามและรวบรวมก๊กชาวมองโกลต่างๆเข้าด้วยกันและสร้างเป็นกองทัพอันเกรียงไกร และในคริสตศักราช 1211 กองทัพมองโกลของเจงกิสข่านถาโถมเข้าใส่แผ่นดินจีนเหมือนปีศาจร้ายที่หลุดออกจากนรก ข้ามกำแพงเมืองจีนเข้ามาแล้วกระจายกำลังไปทั่วประเทศเหมือนกองทัพตั๊กแตนลงทำลายพืชไร่ พวกเขาเป็นนักรบที่เหี้ยมโหดอย่างเหลือเชื่อ มีทักษะการรบที่เยี่ยมยอด พวกเขายังใช้การทำลายขวัญและกำลังใจ เมื่อพวกเขายึดเมืองใดได้ พวกเขาจะฆ่าทุกคนทิ้ง พวกเขาต้องการให้ทุกคนเห็นว่าถ้ามีการขัดขืน ศัตรูจะต้องถูกฆ่า เจงกิสข่านกล่าวว่า สิ่งที่มนุษย์จะมีได้คือชัยชนะ เอาชนะศัตรู ไล่ฆ่าพวกมัน ปลดทรัพย์สินของพวกมัน ทำให้ครอบครัวของพวกมันต้องหลั่งน้ำตา ขี่ม้าของพวกมันและเสพสมกับเมียและลูกสาวของพวกมัน

ต้องใช้เวลา 60 ปี อันนองเลือดก่อนที่แผ่นดินจีนทั้งหมดจะตกในเงื้อมมือของมองโกลภายใต้การนำของกุ๊บไลข่านผู้เป็นหลานของเจงกิสข่าน เขาสถาปนาตนขึ้นเป็นจักรพรรดิจีนในปี 1271 ชาวมองโกลปกครองประเทศจีนต่อไปเกือบร้อยปี ประเทศจีนภายใต้การปกครองของมองโกลกลายเป็นที่พบปะของคนพลายเชื้อชาติ ระหว่างนี้เองที่มาโคโปโลเดินทางมาประเทศจีน และเป็นที่โต้เถียงกันมายาวนานว่า ทำไมไม่เอ่ยถึงกำแพงเมืองจีนในบันทึกของเขาเลย ความจริงก็คือมันเป็นไปได้ว่าไม่มีกำแพงเมืองจีนตอนที่มาโคโปโลมาเยือนประเทศจีน ระหว่างการปกครองมองโกล กำแพงของแคว้นฉินที่เหลืออยู่ได้ผุพังไปหมดแล้ว ชาวจีนไม่เคยยอมรับการปกครองของมองโกล และพวกเขามองกุ๊บไลข่านว่าเป็นเพียงคนเถื่อน แม้ว่าเขาจะทำให้มาโคโปโลและผู้มาเยือนคนอื่นประทับใจมากก็ตาม การต่อต้านจากฝ่ายกบฏเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ตัดรอนอำนาจของมองโกล จนในที่สุดในปี 1368 ชาวนาจีนคนหนึ่งนำทัพชาวจีนขับไล่มองโกลคนสุดท้ายออกจากประเทศจีนและก่อตั้งราชวงศ์หมิง

ราชวงศ์หมิงเป็นนักสร้างกำแพงที่ขยันที่สุดในประวัติศาสตร์จีน ถ้าพวกเขาไม่สร้างมันขึ้นมา เราคงไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับกำแพงเมืองจีน สิ่งที่เรารู้ทุกวันนี้ก็คือกำแพงเมืองจีนเป็นกำแพงของราชวงศ์หมิงแน่ๆ มันแตกต่างจากกำแพงรุ่นก่อนๆ มากเลยทีเดียว การสร้างกำแพงของราชวงศ์หมิงนี้ต้องใช้ช่างอิฐและช่างตัดหินที่เชี่ยวชาญ มันแตกต่างทั้งขนาดและรูปแบบ กำแพงที่สร้างในราชวงศ์หมิงส่วนใหญ่ถูกสร้างบนรากฐานหินแกรนิตยาวถึง 14 ฟุตและหนา 3 หรือ 4 ฟุต ทั้งหมดถูกตัดและจัดวางอย่างแม่นยำเป็นระเบียบ ส่วนตัวกำแพงก็ก่ออิฐที่ทำด้วยมือสูงขึ้นไปถึง 20 ฟุต และมีทางเดินกว้าง 14 ฟุต พื้นทางเดินก็ก่อด้วยอิฐเช่นเดียวกัน ประตูที่ทางทิศตะวันออกที่เมืองชางไห่กวนถูกแต่งตั้งให้เป็นประตูแรกใต้สรวงสวรรค์ ที่ปลายฝั่งตะวันตก พวกเขาสร้างประตูหยกหรือกำแพงกันภัย ชาวหมิงสร้างอนุสรณ์และแผ่นหินสลักไว้มากมายตามทางเพื่อสรรเสริญความปราดเปรื่องและความดีของจักรพรรดิ ชื่อหนึ่งที่ปรากฏอยู่บ่อยครั้งคือชื่อของหว่านลี้ ผู้ครองราชย์สมัยศตวรรษที่ 16 มีส่วนสำคัญต่อการสร้างกำแพงเมืองจีนอย่างมาก จนคนรุ่นต่อมาคิดว่าเขาเป็นผู้สร้างดั้งเดิม แต่ไม่ว่ากำแพงของหว่านลี้จะทรงพลังเพียงใดก็ไม่อาจยับยั้งนักล่าของเผ่าที่แข็งแกร่งจากแมนจูเรียผู้ซึ่งกำลังจ้องมองดินแดนอุดมสมบูรณ์ทางใต้ด้วยความปรารถนา

ความหมกมุ่นเกี่ยวกับกำแพงของชาวหมิงกลายเป็นเกราะป้องกันทางจิตใจต่อพวกมองโกล แต่ในเมื่อแนวป้องกันทางทหารมันไม่ค่อยดีนัก ก่อให้เกิดอำนาจจิตแบบในหนังสตาร์วอร์ว่าบางทีพวกเขาก็ต้องหาทางแม้ว่าจะมีการสูญเสียอย่างมาก หนึ่งในสิ่งที่น่าสนใจของกำแพงก็คือมันสิ้นเปลืองอย่างมากที่จะตรึงกำลังทหารไว้ที่นั่นและคอยส่งเสบียงไปให้พวกเขา มีเรื่องเล่าว่าถ้าต้องขนเกวียนข้าวไปที่กำแพงเมืองจีน 60 เกวียน คุณต้องกินข้าวจากเกวียน 59 เกวียน เหลือเพียง 1 เกวียนที่ขนมาถึง จึงนิยมให้มีทหารอยู่ใกล้กำแพงให้พวกเขาปลูกข้าวเลี้ยงชีพตนเอง แต่คนที่ถูกส่งไปที่นั่นก็ไม่มีความสุขกับมันอย่างมาก พวกเขาต้องถูกส่งไปอยู่ตลอดชีวิต แต่ก็มีบางคนที่ตั้งรกรากได้ พวกเขาพูดภาษาชนเผ่าได้ พวกเขาเข้ากับพวกมองโกลได้ดี

พวกเขาค้าขายกัน ถ้าพวกมองโกลอยากจะเข้ามาในกำแพงที่คนเหล่านี้ควรจะป้องกันมันอยู่ ก็แลกด้วยการติดสินบนเล็กๆน้อยๆ การกระทำเช่นนี้เป็นจุดอ่อนเล็กๆ ที่จะนำไปสู่การล่มสลายของราชวงศ์หมิง พวกคนที่ถูกส่งไปไม่ใช่ชาวนาที่เก่ง แล้วดินแถวนั้นก็ไม่ค่อยดีนัก พวกเขาต้องอดอยาก และเมื่อสิ้นยุคหมิง นิคมทหารก็เริ่มกลายเป็นคนเถื่อนเสียเอง และก็เป็นเพราะคนเหล่านี้ที่ทำให้ชาวแมนจู 150,000 คน เอาชนะคนจีน 150,000,000 คนได้ ชาวแมนจูเข้ายึดปักกิ่งได้ในปี 1644 และปกครองประเทศจีนจนถึงต้นศตวรรษที่ 20 เมื่อจักรพรรดิแมนจูคนสุดท้ายเป็นเด็กชายชื่อปูยีถูกล้มล้างในการปฏิวัติในปี 1912 มันเป็นเรื่องน่าอายมากที่ประเทศจีนถูกโจมตีและยึดครองถึงสองครั้งโดยพวกคนเถื่อนทั้งพวกมองโกลและพวกแมนจูที่อยู่นอกกำแพง มันใช้งานไม่ได้ หมาจิ้งจอกหลุดเข้ามาในเล้าไก่แล้ว ทุกอย่างมันหยุดไม่ได้

เมื่อถึงศตวรรษที่ 19 ต้นศตวรรษที่ 20 กำแพงเมืองจีนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว เมื่อชาวตะวันตกมาเมืองจีนเป็นครั้งแรก พวกเขาประทับใจมาก เมืองมีชีวิตชีวา สิ่งต่างๆรุ่งเรือง ขณะที่ชาวตะวันตกรู้สึกชื่นชมสิ่งก่อสร้างนี้ ชาวจีนเองกลับมองว่ามันเป็นเครื่องเตือนใจของการกดขี่ของระบอบศักดินาและความล้มเหลวทางการทหาร และในพื้นที่ห่างไกล การทำที่พักเป็นเรื่องยากและวัสดุก่อสร้างที่ขาดแคลน พวกชาวนาที่อยู่ใกล้กำแพงจึงสกัดชิ้นส่วนก้อนหินจากกำแพงมาสร้างเป็นบ้าน นั่นแสดงว่าพวกเขาไม่ได้ใส่ใจกับมันเลย เมื่อช่วงศตวรรษที่ 30-40 ญี่ปุ่นบุกจีน มีการรบสำคัญหลายครั้งเกิดขึ้นตามแนวกำแพง ต่อมาหลังการปฏิวัติของพวกกลุ่มสังคมนิยมนำโดยประธานเหมาเจ๋อตุงในปี 1949 มีการฟื้นฟูกำแพงสั้นๆและทำในส่วนที่ได้ความเสียหายอย่างหนักจากสงคราม  และต่อมาในสมัยของเติ้งเสี่ยวผิงได้มีการบูรณะกำแพงอีกครั้ง และเขากล่าวว่าขอให้พวกเรารักชาติและช่วยกันบูรณะกำแพงอันยิ่งใหญ่อีกครั้ง


จัดอันดับ
สยองขวัญ
ประวัติศาสตร์
เมนูอาหาร
สุขภาพ

5 สุดยอดร้านข้าวขาหมู

5 สุดยอดร้านข้าวขาหมู

ที่มารายการ Top 5 ทางรายการได้จัดนักชิมมาให้คะแนนส่วนประกอบหลักของข้าวขาหมู  ได้แก่  ข้าว ผัก น้ำจิ้ม น้ำราด และขาหมู มาดูกันว่าร้านข้าวขาหมูร้านไหนได้ส่วนประกอบหลักแต่ละอย่างเท่าไหร่ ใครที่ชอบกินข้าวขาหมูแต่ไม่รู้จะไปกินที่ไหน มีพิกัดร้านข้าวขาหมู อร่อยๆ ให้คุณตามไปลองกินกัน

1. ร้านข้าวขาหมูบางหว้า
ข้าวขาหมูขั้นเทพแห่งย่านภาษีเจริญ จากผู้ชายตัวเล็กๆ ใช้เวลากว่า 35 ปี จนกลายเป็นเถ้าแก่ขาหมูที่เลื่องชื่อไปทั่วกรุง

จุดเด่นของร้านข้าวขาหมูบางหว้า
ร้านนี้เด่นที่รสเข้มและขาหมูที่ผ่านการคัดเลือกคุณภาพมาเป็นอย่างดี คลุกเคล้าเครื่องหมักหอมฉุยในน้ำซุป ที่สำคัญราคาย่อมเยาถูกใจคอนักชิมเป็นที่สุด

พิกัดร้านข้าวขาหมูบางหว้า

เดินทางเข้าสู่เขตภาษีเจริญ โดยใช้ถนนเพชรเกษม ร้านตั้งอยู่ริมถนน ก่อนถึงปากซอยเพชรเกษม 46/2

2. ร้านข้าวขาหมูนายเอี้ยงตลาดนางเลิ้ง
สุดยอดข้าวขาหมูแห่งย่านนางเลิ้ง ที่สืบทอดตำนานความอร่อยจากรุ่นสู่รุ่นมายาวนานกว่า 60 ปี


จุดเด่นของร้านข้าวขาหมูนายเอี้ยงตลาดนางเลิ้ง
ข้าวขาหมูสุดคลาสสิคที่รสชาติกลมกล่อม หมูชิ้นใหญ่เต็มๆ คำ แถมยังมีผักให้เลือกอีกหลายชนิด ที่สำคัญมีกระเทียมต้มแสนอร่อยไม่เหมือนใคร เอาไว้ให้ทานแก้เลี่ยนกันอีกด้วย

พิกัดร้านข้าวขาหมูนายเอี้ยงตลาดนางเลิ้ง

เดินทางจากถนนกรุงเกษม สู่ถนนนครสวรรค์ เข้าซอยนครสวรรค์ 6 ในตลาดนางเลิ้งโซนอาหาร ร้านอยู่ขวามือ

3. ร้านข้าวขาหมูเฮียเจี๊ยะ
สุดยอดข้าวขาหมูสมุนไพรแห่งซอยลาดพร้าว 71 ขาหมูขั้นเทพที่อุดมไปด้วยเครื่องปรุงแห่งการดูแลสุขภาพของผู้ที่ลิ้มลอง

จุดเด่นของร้านข้าวขาหมูเฮียเจี๊ยะ
ข้าวขาหมูที่เน้นอาหารเป็นยา ขาหมูนุ่มๆ ต้มด้วยน้ำพะโล้เก่าแก่ที่เลี้ยงไปเอาไว้ตั้งแต่วันเปิดร้าน และน้ำราดที่มีส่วนผสมของเครื่องยาจีน 12 ชนิด เรียกได้ว่าเป็นขาหมูสูตรสมุนไพรเพื่อสุขภาพอย่างแท้จริง

พิกัดร้านเฮียเจี๊ยะข้าวขาหมู
เดินทางเข้าสู่ถนนโชคชัย 4 เลี้ยวขวาที่ซอย 72 ตรงเข้าสู่แยกโรงไม้ สังเกตทางเบี่ยงซอยสตรีวิทยา 2 แยก 4 ร้านจะอยู่ซ้ายมือ

4. ร้านข้าวขาหมูตรอกซุงบางรัก
สุดยอดร้านข้าวขาหมูขั้นเทพที่ใครๆ ก็ต้องพูดถึง

จุดเด่นของร้านข้าวขาหมูตรอกซุง (บางรัก)
ข้าวขาหมูลือชื่อทั่วฟ้าเมืองไทยมายาวนานกว่า 50 ปี เด่นที่รสชาติของตัวขาหมูที่ดูดความเค็มและความหวานของน้ำพะโล้เข้มข้นที่แทรกซึมเข้าไปในทุกอณูของเนื้อหนัง เรียกได้ว่ากัดเพียงคำแรกก็สัมผัสได้ถึงความอร่อยที่ชุ่มฉ่ำ

พิกัดร้านข้าวขาหมูตรอกซุงบางรัก
ใช้ถนนเจริญกรุง เดินทางมุ่งไปโรบินสันบางรัก เข้าซอยเจริญเวียง ตรงเข้าไปประมาณ 50 เมตร

5. ร้านข้าวขาหมูเจริญแสงสีลม
ร้านเก่าแก่ที่เปิดขายมานานกว่า 50 ปี ความอร่อยลือเลื่องจนได้ชื่อว่าเป็นสุดยอดขั้นเทพแห่งข้าวขาหมู

จุดเด่นของร้านข้าวขาหมูเจริญแสงสีลม
ร้านขาหมูเก่าแก่ อร่อยขั้นเทพแบบสุดยอด ร้านนี้เด่นที่น้ำต้มขาหมู เพราะใช้น้ำซุปหัวเชื้อสูตรพิเศษที่รสชาติเข้าเนื้อแทบจะไปถึงกระดูก และน้ำราดที่เข้มข้นเกาะติดกับตัวขาหมูได้เป็นอย่างดี พร้อมเสิร์ฟแบบแยกจานเพื่อสร้างความต่างแต่ราคาเท่ากับอาหารจานเดียว

พิกัดร้านข้าวขาหมูเจริญแสงสีลม
เดินทางจากถนนเจริญกรุง มุ่งสู่แยกบางรัก เลี้ยวขวาเข้าถนนสีลม ซอยจะอยู่ด้านซ้ายมือ ตรงข้างตึกสเตททาวเวอร์ ตรงเข้าไปเพียง 20 เมตร

คะแนนเฉลี่ยความอร่อยของข้าว     ร้านเฮียเจี๊ยะข้าวขาหมูได้คะแนนมากที่สุด  9.5/10
คะแนนเฉลี่ยความอร่อยของผัก       ร้านข้าวขาหมูนายเอี้ยงตลาดนางเลิ้งได้คะแนนมากที่สุด  9.7/10
คะแนนเฉลี่ยความอร่อยของน้ำจิ้ม   ร้านข้าวขาหมูตรอกซุงได้คะแนนมากที่สุด  9.5/10
คะแนนเฉลี่ยความอร่อยของน้ำราด  ร้านข้าวขาหมูตรอกซุงได้คะแนนมากที่สุด  9.9/10
คะแนนเฉลี่ยความอร่อยของขาหมู   ร้านข้าวขาหมูเจริญแสงสีลมได้คะแนนมากที่สุด  9.8/10

5 สุดยอดร้านก๋วยเตี๋ยวราดหน้า

5 สุดยอดร้านก๋วยเตี๋ยวราดหน้า
ที่มารายการ Top 5 ทางรายการได้จัดนักชิมมาให้คะแนนวัตถุดิบหลักของ ก๋วยเตี๋ยวราดหน้า ได้แก่  เส้นใหญ่ น้ำราดหน้า หมูหมัก ผักคะน้า มาดูกันว่าร้านราดหน้าร้านไหนได้คะแนนส่วนประกอบหลักแต่ละอย่างเท่าไหร่ ใครที่ชอบราดหน้าแต่ไม่รู้จะไปกินที่ไหน มีพิกัดร้านราดหน้า อร่อยๆ ให้คุณตามไปลองกินกัน

1. ภัตตาคารจ๊ากกี่
ถ้าพูดถึงราดหน้าดังย่านอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิที่อยู่คู่ซอยรางน้ำมากว่า 50 ปี เข้ามาทางซอยวัฒนโยธิน ทุกๆ ท่านคงจะเอ่ยเป็นเสียงเดียวกันว่า "จ๊ากกี่" แน่นอน ก็ภัตตารคารจ๊ากกี่เขาดังในเรื่องราดหน้าเป็นพิเศษ ด้วยน้ำที่ข้นขลุกขลิก รสชาติเข้มข้นและผักคะน้าชั้นยอด ใครๆ ที่มากิน ยังไงก็ต้องติดใจ ถึงแม้ราคาจะแพงถึงจานละร้อย

จุดเด่นของก๋วยเตี๋ยวราดหน้าภัตตาคารจ๊ากกี่
ราดหน้าเส้นใหญ่เหนียวนุ่ม หมูหมักเครื่องรสชาติถึงเนื้อ เสริ์ฟพร้อมยอดผักคะน้ากรุบกรอบ ราดด้วยน้ำราดรสจัดจ้านตามแบบฉบับของทางร้านโดยเฉพาะ

พิกัดภัตตาคารจ๊ากกี่
ซอยรางน้ำอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ

2. ร้านตั้งใจอยู่
วิ่งไปทางเส้นพระรามสี่ มุ่งสูถนนสุรวงศ์ มองหาตึกวอลล์สตรีททาวเวอร์ ก็จะพบกับภัตตาคารตั้งใจอยู่ ราดหน้าของที่นี่ผ่านการปรุงจากเชฟผู้เชี่ยวชาญ พร้อมเสิร์ฟราดหน้าแบบแยกเส้นที่มีให้เลือกถึงสองแบบ นั่นก็คือแบบผัดและแบบทอดกรอบ เรียกได้ว่าเก๋ไก๋ ไม่ซ้ำใครเลย

จุดเด่นของก๋วยเตี๋ยวราดหน้าร้านตั้งใจอยู่
ราดหน้าจานยักษ์ที่แยกเสิร์ฟระหว่างน้ำราดหน้ากับเส้นที่มีให้เลือกถึงสองแบบทั้งแบบผัดและแบบทอดกรอบเรียกได้ว่าอร่อยเด่นไม่เหมือนใคร ผสมผสานกับหมูหมักชิ้นโตและผักคะน้าที่กรอบพอดีคำ

พิกัดร้านตั้งใจอยู่
ถนนสุรวงศ์ตึกวอลล์ สตรีท

3. ร้านเคี้ยงเอ็มไพร์
มุ่งตรงไปที่ซอยจุฬา 20 จะเห็นร้านที่กำลังผัดราดหน้าไฟลุกโชนอยู่ตรงหัวมุมถนน นั่นก็คือราดหน้าเคี้ยงเอ็มไพร์ เปิดขายราดหน้ามากว่า 20 ปี ราดหน้ารสชาติเยี่ยมจนได้รับรางวัลการันตีต่างๆ มากมาย ด้วยหมูหมักแสนนุ่ม ผสานกับกลิ่นหอมของเส้นที่ผัดด้วยไฟแรงๆ ราดด้วยน้ำราดที่แสนกลมกล่อม ที่สำคัญราคาไม่แพง ใครที่ได้กินราดหน้าของที่นี่ขอบอกว่าคุ้มค่าจริงๆ

จุดเด่นของก๋วยเตี๋ยวราดหน้าร้านเคี้ยงเอ็มไพร์
ราดหน้ารสชาติอร่อยล้ำลึกด้วยเส้นที่หอมกลิ่นไฟ หมูหมักที่ใช้เวลาหมักนานถึงสองวันและผักคะน้าที่หวานกรอบ เรียกว่าผสมผสานได้อย่างลงตัวทำให้รสชาติอร่อยโดดเด่น ไม่เหมือนใคร

พิกัดร้านเคี้ยงเอ็มไพร์
ตลาดสวนหลวง ซอยจุฬา 20

4. ร้านอยู่อี่
มากันที่เยาวราช ถนนเจริญกรุงจะเจอร้านราดหน้าเจ้าอร่อยนั่นก็คือร้านอยู่อี่ จุดเด่นของร้านนี้คือผักคะน้าที่ถ้าสั่งจานพิเศษจะคัดเอาแค่เฉพาะแกนอ่อนมาเสิร์ฟ รสชาติอร่อยแตกต่างจากคะน้ายอดผักทั่วไปพร้อมกับน้ำราดหน้าสูตรฮ่องกงแท้ๆ รสชาติหวานมันที่เมื่อได้ทานแล้วพูดได้คำเดียวว่าอร่อยจนหยุดเคี้ยวไม่ได้เลย

จุดเด่นของก๋วยเตี๋ยวราดหน้าร้านอยู่อี่
ราดหน้ารสชาติหวานมัน อร่อยกลมกล่อมด้วยแกนคะน้าอ่อนสีเขียวสดคุณภาพดี ผสมผสานกับหมูหมักเลิศรสและการปรุงน้ำราดหน้าสไตล์ฮ่องกงแท้ๆ ทำให้ราดหน้าร้านอยู่อี่อร่อยจนหยุดไม่ได้

พิกัดร้านอยู่อี่
เยาวราชด้านถนนเจริญกรุง

5. ภัตตาคารแสนยอดโภชนา
และร้านสุดท้ายเดินทางเข้ามาสู่ถนนเจริญกรุง เข้าถนนเจริญเวียง ตรงสุดซอย เลี้ยวขวาเล็กน้อยขะเจอกับภัตตาคารแสนยอดโภชนา ด้วยราดหน้ารสเข้มข้น บวกด้วยเนื้อหมูชั้นเยี่ยมที่คัดสรรมาให้ลูกค้ารับประทาน และที่สำคัญคือผักคะน้าฮ่องกงที่ส่งตรงมาจากเมืองจีนที่มาพร้อมความกรอบและมีเส้นใยน้อย บอกได้คำเดียวว่า คุณภาพ รสชาติ ช่างลงตัวไปหมดทุกอย่างจริงๆ

จุดเด่นของก๋วยเตี๋ยวราดหน้าร้านแสนยอดโภชนา
ราดหน้าสไตล์ภัตตาคารแท้ๆ ด้วยยอดคะน้าฮ่องกงแสนอร่อยที่นำเข้าจากเมืองจีน หมูที่หมักจนได้ที่ผสมผสานกับน้ำราดหน้าสูตรฮ่องกงแท้ๆ ราดลงบนเส้นใหญ่ที่ผัดได้กำลังดี เรียกได้ว่าลงตัวไร้ที่ติ

พิกัดภัตตาคารแสนยอดโภชนา
ในซอยเจริญเวียง เชิงสะพานตากสิน

คะแนนส่วนประกอบต่างๆ ในราดหน้า
คะแนนเฉลี่ยความอร่อยของเส้นใหญ่      ร้านราดหน้าอยู่อี่ได้คะแนนมากที่สุด
คะแนนเฉลี่ยความอร่อยของน้ำราดหน้า  ร้านราดหน้าภัตตาคารแสนยอดโภชนาคะแนนมากที่สุด
คะแนนเฉลี่ยความอร่อยของหมูหมัก       ร้านราดหน้าภัตตาคารจ๊ากกี่ได้คะแนนมากที่สุด
คะแนนเฉลี่ยความอร่อยของผักคะน้า      ร้านราดหน้าภัตตาคารแสนยอดโภชนาคะแนนมากที่สุด