ขายการ์ตูนออนไลน์ Facebook
อ่านการ์ตูนออนไลน์ Facebook
อ่านการ์ตูน Facebook
มังงะออนไลน์ Facebook
อ่านมังงะออนไลน์ Facebook
การ์ตูนวังวนปรารถนา Facebook
การ์ตูนโรแมนติก Facebook
ขายการ์ตูนหมึกจีน Facebook
การ์ตูนนางฟ้าซาตาน Facebook
แกล้งจุ๊บให้รู้ว่ารัก Facebook
การ์ตูนแกล้งจุ๊บให้รู้ว่ารัก Facebook
เกมรักพยาบาท Facebook
GOLD รักนี้สีทอง Facebook
เกาะนางพญาเงือก Facebook
หนุ่มสุดขั้วบวกสาวสุดขีด Facebook
วังวนปรารถนา Facebook
คุณหนูไฮโซโยเยรัก Facebook
เจ้าหญิงซ่าส์กับนายหมาบ้า Facebook
รักทั้งตัวและหัวใจ Facebook
หัวใจไม่ร้างรัก Facebook
เหิรฟ้าไปคว้ารัก Facebook
บินไปกับหัวใจสีชมพู Facebook
princessหมึกจีน Facebook
ฝ่าไปให้ถึงฝัน Facebook
หวานใจองค์ชายมองโกล Facebook
หน้ากากนักสืบ Facebook
ราศีมรณะ Facebook
THE B.B.B. ลงเอยที่ความรัก Facebook
เกียรติยศรัก Facebook
SAINT ADAM มารยาปรารถนา Facebook
หนุ่มยักษ์รักสุดฤทธิ์ Facebook
รักแรกแสนรัก Facebook
รอรักสาวซากุระ Facebook
รักโฮ่งๆ ตกลงมั้ย Facebook
หนุ่มนักนวดนิ้วทอง Facebook
รักแบบนี้...กิ๊กเลย Facebook
ขอแก้เผ็ดหนุ่มหลายใจ Facebook
บอดี้การ์ดเจ้าปัญหา Facebook
อ้อมกอดทะเลทราย Facebook
การ์ตูนรอรักในฝัน Facebook
การ์ตูนหัวใจร่ำหารัก Facebook
อุ่นไอรักหนุ่มออฟฟิศ Facebook
การ์ตูนสองสาวสองรัก Facebook
การ์ตูนรอเธอบอกรัก Facebook
การ์ตูนรักระแวง Facebook
การ์ตูนสุดแต่ใจของเธอ Facebook
การ์ตูนหนามชีวิต Facebook
ยอดรักเพชรในดวงใจ Facebook
การ์ตูนวังวนในหัวใจ Facebook
การ์ตูนรักแรกฝังใจ Facebook
การ์ตูนกับดักหัวใจ Facebook
การ์ตูนคุณชายที่รัก Facebook
อ้อมกอดดาวเคล้าเกลียวคลื่น Facebook
การ์ตูนเจ้าสาวเงินตรา Facebook
การ์ตูนเพลงรักสองเรา Facebook
การ์ตูนมนต์รักลมหนาว Facebook
การ์ตูนโอมเพี้ยงเสี่ยงรัก Facebook
ครูจอมซ่าส์หรือนายขาโจ๋ Facebook
เล่ห์รักปักหัวใจ Facebook
การ์ตูนคู่รักนิรันดร Facebook
การ์ตูนชะตารัก Facebook
แฝดหนุ่มมะรุมมะตุ้มรัก Facebook
รูมินเทพบุตรซาตาน Facebook
รักเทวดาท่าจะวุ่น Facebook
รวมเรื่องสั้นMiwa Sakai Facebook
Hot Love หมึกจีน Facebook
การ์ตูนผีกุกกัก Facebook
คุณหนูกับทาสหนุ่ม Facebook
การ์ตูนเธอคือนางเอก Facebook
หนุ่มเซ่อเจอสาวแซ่บ Facebook
Extra Romance หมึกจีน Facebook
เว็บขายการ์ตูนออนไลน์ Facebook
กระบวนการผลิตชีส ลักษณะของชีสชนิดต่างๆ
เอานมมา ใส่แบคทีเรียลงไปอีกนิด เชื้อราอีกหน่อย ตัวร้ายอีกเล็กน้อย ชีสคือวิธีอย่างหนึ่งในการถนอมอาหารไม่ให้เน่าเสีย แล้วเราก็จะได้ความอร่อยที่คนกินเท่าไหร่ก็ไม่พอ จากทุ่งเลี้ยงวัวไปสู่พิซซ่า จากโรคฟอร์ท (Roquefort) ไปถึงเวลวีต้า (Velveeta) ไม่ว่าคุณจะหั่นหรือว่าราดมันคือหนึ่งในการถนอมอาหารที่ซับซ้อนที่สุดของมนุษย์อย่างหนึ่ง
รถบรรทุกมาถึงก่อนรุ่งสาง ถังเหล็กส่องประกายแวววับ แต่ละถังมีปริมาตร 600 แกลลอน เลื่อนเข้าสู่สายพานผลิต มันคือโรงกลั่นอย่างหนึ่งแต่ของที่ทำไม่ใช่น้ำมันหรือว่าก๊าซแต่เป็นนม ที่โรงงานอัลโต้แดรี่ วิสคอนซิน วันปกติจะมีนมประมาณ 3,500,000 ปอนด์มาส่งที่โรงงานหรือประมาณ 70 รถบรรทุก อัลโต้แดรี่จะทำนม 3,500,000 ปอนด์นี้เปลี่ยนให้เป็นชีส 400,000 ปอนด์ทุกวัน นมร้อยละ 90 ที่ผลิตได้ในวิสคอนซินจะกลายเป็นชีส และชีสของวิสคอนซินร้อยละ 10 ถูกผลิตจากโรงงานแห่งนี้ อัลโต้แดรี่โรงงานทำชีสที่ใหญ่ที่สุดทางตะวันออกของมิสซิสซิปปี้ ตั้งแต่โรงงานใหญ่โตไปจนถึงฟาร์มเล็กๆ การทำชีสคือศาสตร์และศิลป์และงานฝีมือ ทั้งยังเป็นความสัมพันธ์ระหว่างที่ดิน สัตว์ และเทคนิค
อัลโต้แดรี่ก็เช่นเดียวกับโรงงานทำชีสอื่นๆ ชีสดีๆ เริ่มต้นจากนมบริสุทธิ์เข้มข้น สิ่งแรกที่ทำเวลารถบรรทุกนมเข้ามาคือ เจ้าหน้าที่จะเปิดฝาเพื่อนำตัวอย่างนมมาตรวจหาสารปฏิชีวนะ เมื่อห้องแล็บตรวจแล้วพวกเขาก็จะติดท่อเข้าไปเพื่อสูบนมออกมาจากถังไปเก็บไว้ในแท้งค์นมขนาดยักษ์ของโรงงาน เมื่อการผลิตชีสเริ่มขึ้นนมจะถูกส่งไปฆ่าเชื้ออย่างรวดเร็วที่อุณหภูมิประมาณ 162 องศาฟาเรนไฮต์เพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียทั้งหมด จากนั้นมันจะถูกส่งไปหม้อทำชีส ที่แปลกก็คือขั้นตอนต่อไปที่สำคัญที่สุดในการทำชีสทุกชนิด ตั้งแต่ชีสสดชนิดเหลวไปจนถึงพาร์มิซานที่ต้องบ่ม นั่นก็คือการใส่เชื้อแบคทีเรีย เป็นที่ทราบกันว่าแบคทีเรียชนิดดีจะเป็นตัวบ่มชีส
เราต้องใส่แบคทีเรียชนิดดีลงไป และมันจะเป็นการเริ่มกระบวนการบ่ม สิ่งที่มันทำคือแบคทีเรียมันจะเริ่มกินแลคโตสหรือน้ำตาลนม ขณะที่แบคทีเรียที่ได้รับความช่วยเหลือจากความร้อนและการกวนที่พอเหมาะ กินน้ำตาลและหมักพวกมันเป็นกรดแลคติก พวกมันลดค่า pH ของนม นี่จะทำให้ชีสมีกลิ่นและรสฉุนเปรี้ยวในที่สุด ค่า pH ที่ลดลงจะทำให้โปรตีนนมแข็งเป็นก้อน ที่โรงงานอัลโต้นมพวกนี้จะถูกทำให้กลายเป็นเชดดาห์ชีส ดังนั้นก่อนที่นมจะแข็งเป็นก้อน คนทำชีสจะใส่สีย้อมที่ทำจากพืชที่เรียกว่าชาดลงไปเพื่อให้เชดดาห์ชีสมีสีส้มอันเป็นเอกลักษณ์
การแข็งเป็นก้อนที่แท้จริงเกิดขึ้นเพราะเอนไซม์มหัศจรรย์ชนิดหนึ่งที่ชื่อว่าเรนเน็ต (Rennet) แม้คนทำชีสปัจจุบันมักใช้เรนเน็ตที่สังเคราะห์จากพืช แต่ในอดีตมันถูกนำมาจากในกระเพาะของสัตว์เคี้ยวเอื้อง เช่นวัวหรือแกะ ภายในเวลาแค่สามสิบนาที เรนเน็ตเพียงเล็กน้อยก็เปลี่ยนนมหม้อใหญ่นี้ให้กลายเป็นก้อนเหนียวเหมือนโยเกิร์ต นมประมาณ 55,000 ปอนด์จะใช้เรนเน็ตแค่ประมาณ 70 ออนซ์เท่านั้น จากนั้นมีดอัตโนมัติจะหั่นพวกมันเป็นชิ้นแข็งๆ ที่เรียกว่า เคิร์ด (Curd) ส่วนของเหลวที่คัดออกมาเรียกว่า หางนม (Whey หรือ Milk Serum) นี่คือลักษณะสากลอย่างหนึ่งของการทำชีส ที่โรงนมไม่ว่าทั้งใหญ่และเล็ก ขนาดของเคิร์ดจะเป็นตัวกำหนดเนื้อและปริมาณความชื้นของชีส ยิ่งเคิร์ดมีขนาดบางเท่าไหร่ หางนมที่คั้นออกมาได้ก็ยิ่งมาก เชดดาห์ชีสจะถูกตัดจนบางเฉียบ มันจะได้เป็นชีสเนื้อแน่นที่แห้งสนิท
ต่อมาเราจะล้างเคิร์ด ซึ่งต้องลดอุณหภูมิลงเพื่อชะลอปฏิกิริยาของแบคทีเรียและขจัดแหล่งอาหารของพวกมันด้วยการล้างแลคโตสออกไปบ้าง จากนั้นเราจะทำให้เค็มด้วยการใส่เกลือซึ่งไม่เพียงเพื่อเพิ่มรสชาติให้ชีสแต่ยังเป็นการควบคุมแบคทีเรียอีกทางหนึ่งด้วย จากนั้นเคิร์ดจะถูกส่งไปยังจุดอัดชีส ซึ่งมันจะถูกส่งลงไปในแม่พิมพ์ที่รู้จักกันในวงการว่า "640" ซึ่งก็คือแม่พิมพ์ชีสขนาด 640 ปอนด์นั่นเอง แม่พิมพ์จะถูกส่งลงไปในเครื่องอัดไล่น้ำและปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที หลังจากทิ้งไว้ 5 นาทีแล้วตัวอัดไล่น้ำจะกดลงมา แรงอัดทั้งหมดจะรีดเอาหางนมออกไปอีก แม่พิมพ์แต่ละชิ้นจะกดอัดประมาณ 8 นาที ด้วยแรงอัด 5 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว (PSI = Pounds per Square Inch)
เครื่องพลังไฮดรอลิคนี้ใช้สำหรับอัดชีสในระดับอุตสาหกรรม ส่วนคนทำชีสทั่วไปใช้วิธีง่ายๆ มานับพันปี คือใช้แรงคนรีดเอาหางนมออกไป แม่พิมพ์ถูกส่งไปอัดต่อในห้องสูญญากาศ พอเวลาผ่านไปชิ้นเคิร์ดจะหลอมรวมกันเป็นสิ่งที่เราเรียกว่า เชดดาห์ชีส ขณะเดียวกันลึกลงไปในชีส แบคทีเรียที่เป็นตัวบ่มจะทำให้น้ำตาลนมแตกตัวเป็นกรดแลคติกที่มีกลิ่นฉุน ส่วนโปรตีนจะกลายเป็นสารประกอบที่มีรสฉุนจัดค่อยๆ เพิ่มรสชาติให้กับชีส และทั้งหมดนั้นคือขั้นตอนการทำชีสเพื่อถนอมนมไว้ไม่ให้เน่าเสีย เราทำให้โมเลกุลนมแตกตัวเป็นโมเลกุลที่แยกย่อยลงไปอีก การบ่มชีสส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นห่างจากโรงงานอัลโต้แดรี่ ซึ่งจะบ่มชีสในห้องเย็นประมาณ 10 วัน ก่อนที่จะเอาออกจากแม่พิมพ์ไปสู่พ่อค้าคนกลาง เป็นที่มาของ อิงลิชฟาร์มเฮ้าส์เชดดาห์แบบดั้งเดิมที่มากด้วยปริมาณและเทคโนโลยี
คนทำชีสในโลกนี้ผลิตชีสได้ปีละ 20 ล้านตัน มากกว่ายาสูบ เมล็ดกาแฟ ใบชาและเมล็ดโกโก้รวมกันทั้งโลก เพราะชีสไม่สามารถชั่งตวงวัดเป็นปริมาณเพียงอย่างเดียว มันเป็นเรื่องของความชื่นชอบ ความหลงใหลไม่มีวันจบสิ้น ไม่ว่าจะเป็นชีสกลิ่นฉุนอย่าง บรีเดอมัวร์ (Brie de Meaux) หรือชีสในชีสเบอร์เกอร์ ในฐานะอาหารพกพาที่เต็มไปด้วยโปรตีน มันยังเป็นส่วนสำคัญในการอยู่รอดของมนุษย์อีกด้วย
เรารับรองได้เลยว่ามีการทำชีสในนครบาธมากว่า 3,000 ปีก่อนคริสตกาลแล้ว โดยเฉพาะในแถบที่เรารู้จักในปัจจุบันว่าเป็นประเทศตุรกี อิหร่าน ซีเรีย อาจจะหลายพันปีก่อนมีนครบาธด้วยซ้ำ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุดคือกากแห้งๆ ที่นักโบราณคดีขุดพบในหม้อดินเผาในบริเวณที่ปัจจบันคืออียิปต์ ซึ่งมีอายุประมาณ 2-3 พันปีก่อนคริสตกาลตามการตรวจอายุด้วยเครื่องตรวจคาร์บอน
ระหว่างการคาดเดาประวัติศาสตร์ของผู้รู้กับตำนานคือทฤษฎีที่ว่ามันเกิดขึ้นโดยบังเอิญ ต้องขอบคุณคนเลี้ยงแกะเร่ร่อนที่บังเอิญเอานมแกะใส่ถุงที่ทำจากกระเพาะแพะหรือแกะ ขณะที่พวกเขาพกถุงนม นมเกิดปฏิกิริยากับเยื่อบุกระเพาะซึ่งมีเชื้อเรนเน็ตอยู่ด้วย และทำให้มันกลายเป็นเคิร์ดแยกตัวกับหางนม ถ้าเราอัดเคิร์ดพวกนี้เข้าด้วยกัน มันก็คือชีส มีการคิดค้นการเปลี่ยนแปลงวิธีการทำมาตลอด 5-8 พันปี จนกลายมาเป็นชีสในปัจจุบันที่นิยมกันอย่างแพร่หลายเพราะมันเป็นการถนอมอาหารอย่างหนึ่งและมันเก็บได้นาน
ชีส 1 ออนซ์ มีโปรตีนเป็น 7 เท่าของนม 1 ออนซ์ และมีแคลเซียมมากกว่า 5 เท่า ชีสยังให้พลังงานจากไขมันที่เข้มข้นด้วย ซึ่งร้อยละ 40-50 ของน้ำหนักที่ปราศจากน้ำคือไขมัน แต่เดิมชีสโบราณทำจากนมของผู้ร่วมทางอย่างแพะ มีการเลี้ยงแพะมากว่า 7,000 ปีแล้ว พวกมันก็คือสัตว์ชนิดแรกๆ ที่มนุษย์เลี้ยง จึงมีความเป็นไปได้ว่าชีสนมแพะอาจจะเป็นชีสชนิดแรกที่ถูกทำขึ้นบนโลก ในมหากาพย์โอดิสซี่ย์ของโฮเมอร์ เป็นมหากาพย์แห่งอารยธรรมตะวันตก ซึ่งคาดว่าโฮเมอร์แต่งเรื่องนี้เมื่อ 800 ปีก่อนคริสตกาล บางส่วนในเรื่องได้พูดถึงไซคลอปส์ยักษ์ตาเดียวที่เลี้ยงแกะเอาไว้ เขากวนนมแพะและนมแกะเพื่อทำเป็นเคิร์ด รีดน้ำจากชีสในตะกร้าที่สานแน่นแล้วบ่มพวกมันในถ้ำ
วิธีทำชีสนมแพะพัฒนาต่อไป ไม่เพียงในกรีซแต่ยังเผยแพร่ไปทั่วเมดิเตอร์เรเนียน รวมทั้งที่เรดวู้ดฮิลฟาร์ม ทางเหนือของแคลิฟอร์เนีย ในการทำเฟต้าชีสของที่นี่ มีนมหนึ่งพันแกลลอนในเครื่องบ่ม ใส่เรนเน็ต แล้วสักพักมันก็จะเซ็ตตัวเป็นลิ่มก้อนเหมือนเต้าหู้หรือเจลลี่ คนทำชีสหั่นเคิร์ดเป็นก้อนสี่เหลี่ยมค่อนข้างใหญ่และแยกมันจากหางนม จากนั้นก็ใส่เคิร์ดลงในแม่พิมพ์ มันอัดแน่นเข้าด้วยกันปละกลายเป็นชีสชิ้นหนึ่ง ที่นี่จะไม่กดอัดด้วยเครื่องจักร พอทิ้งไว้หนึ่งคืนพวกมันจะได้ที่ พอพรุ่งนี้เช้าก็จะใส่ก้อนเคิร์ดนี้ลงในน้ำเกลือสมุทร
คุณค่าของชีสในฐานะที่น้ำหนักเบาเป็นอาหารที่เก็บได้นาน เพิ่มขึ้นเมื่อวัฒนธรรมเมดิเตอร์เรเนียน โดยเฉพาะโรมันทำให้ศิลปะการทำชีส เค็ม แข็ง มีขนาดใหญ่ขึ้น เก็บได้นานและพกพาได้ง่าย มีทหารโรมันมากมายที่ต้องกินอาหาร และชีสก็เป็นอาหารอย่างหนึ่งของพวกเขา ดังนั้นพวกทหารโรมันไม่ว่าจะไปที่ไหนจะไปหาฝูงวัว ฝูงแพะหรือแกะ อะไรก็ได้ที่มี จากนั้นก็รีดนมมาทำชีส ชีสโรมันที่โดดเด่นที่สุดตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันก็คือชีสนมแกะแห้งๆ มันๆ ที่แข็งมาก ซึ่งเราเรียกว่าโรมาโน่เปโคริโน (Romano Pecorino) แปลว่าชีสที่ทำจากนมแกะจากแถบโรม
ชีสแข็งอิตาลีที่ยอดเยี่ยมอย่าง กราน่า ปาดาโน่ (Grana Padano) กับ พาร์มิจิอาโน่ เร็จจิอาโน่ (Parmigiano Reggiano) ถูกทำต่อเนื่องมาราวๆ พันปี หรืออาจนานกว่านั้น ชาวโรมันไม่ใช่พวกเดียวที่ทำแผ่นชีสบ่มใหญ่ๆ แข็งๆ ต้นศตวรรษที่ 11 สูงขึ้นไปบนแอลป์ของสวิส คนเลี้ยงสัตว์ต้อนสัตว์ในฤดูร้อนตามลำพังให้พวกมันหากินหญ้าสมุนไพรหวานๆ บนภูเขาแล้วผลิตชีสแข็งก้อนใหญ่อย่าง กรูแยร์ (Gruy?re cheese) อาหารสำคัญที่ช่วยให้อยู่รอดผ่านฤดูหนาวอันโหดร้าย สวิสผลิตกรูแยร์อย่างต่อเนื่องมาอย่างน้อยหนึ่งพันปีแล้ว การคิดค้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนี้เต็มไปด้วยรู ทำไมจึงมีรูในชีสสวิส และนักบวชในยุคกลางที่ดื่มเหล้าจัด สร้างสรรค์ชีสที่ดีที่สุดและกลิ่นฉุนที่สุดในโลกได้อย่างไร
เมื่อก้าวเข้าไปในร้านชีสระดับโลก ก็เหมือนก้าวเข้าไปในยันทึกทางประวัติศาสตร์ที่ยังมีลมหายใจ ที่ๆ รวมชีสกลิ่นฉุนๆ ที่ดีที่สุดในโลกไว้อย่างแปลกประหลาด ไม่ว่าจะเป็นร้านชีสที่เป็นมิตรและมีชื่อเสียงในแคลิฟอร์เนียหรือเบเวอร์ลี่ฮิลล์ หรือตลาดแฟร์เวย์ที่คราคร่ำ ห่างออกไปสามพันไมล์ที่นครนิวยอร์ค เราเกือบจะจัดอันดับร้านชีสดีๆ ได้จากกลิ่นที่เวลาเดินเข้าไปในร้าน ถ้าไม่มีกลิ่นเหม็นฉุน คุณก็เข้าร้านผิดแล้ว
ชีสมีกลิ่นเหม็นฉุนเพราะการทำงานของแบคทีเรียและเชื้อรา ซึ่งทำให้ไขมันและโปรตีนแตกตัวเป็นองค์ประกอบที่ระเหยง่าย อย่างแอมโมเนียและไฮโดรเจนซัลไฟด์ อันเป็นที่มาของกลิ่นแรงๆ ชีสที่เหม็นฉุนที่สุดถูกทำขึ้นโดยนักบวชแบ๊บติสต์และเบเนดิกทีน (Baptist and Benedictine) ในยุคกลางซึ่งนำความคิดสร้างสรรค์อันยอดเยี่ยมที่นำไปสู่ขั้นตอนสุดท้ายของการทำชีสนั่นก็คือการบ่ม
ชีสที่เหม็นฉุนนั้นเพราะพวกมันถูกล้างน้ำมาอีกที พวกนักบวชเรียนรู้ว่าถ้าถูผิวหน้าของชีส ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชีสนมวัว การล้างด้วยน้ำเปล่า น้ำเกลือ ไวน์ เบียร์ บรั่นดี หรืออาจจะเป็นน้ำองุ่นจะเป็นการให้อาหารแก่แบคทีเรียธรรมชาติที่อยู่นอกชีส ในอากาศ รวมทั้งในเนื้อชีสได้ทำงานเพื่อบ่มชีส นักบวชเปรียบเสมือนสะพานเชื่อมโลกโบราณหรือยุคกลาง พวกเขาทำให้การทำชีสนี้ยังคงอยู่ มันคือศิลปะ
ชีสมองต์เดอแคทส์ (Mont des Cats) เป็นชีสดั้งเดิมที่นักบวชยุคนั้นทำขึ้น มันกินแกล้มเนื้อแห้ง เบียร์และบทสวดสักสองบท ชีสนี้เหมาะมากๆ เอามากินแกล้มเบียร์อร่อยกว่าชีสที่มีเนื้อแข็งๆ พวกนักบวชก็เลยคิดสูตรชีสที่เหนียว เนื้อละเอียดและอร่อยมากๆ กินกับขนมปังดำและเบียร์ที่แรงๆ อาหารที่กินในสมัยนั้นทำให้พวกเขาแข็งแรงมากๆ
อีกหนึ่งตำนานของชีสสูตรแบ๊บติสต์คือชีสลิมเบอร์เกอร์กลิ่นฉุนที่โด่งดัง ที่สหกรณ์ชาเลตชีส มอนโร วิสคอนซิน นักทำชีส มารอน โอลสัน ทำชีสวิธีเดียวกับที่นักบวชทำมากว่า 1 ศตวรรษ เมื่อเคิร์ดแข็งตัวแล้วก็คลุกด้วยเกลือ จากนั้นก็ส่งไปยังห้องบ่มเพื่อให้ได้แบคทีเรียอันเป็นเอกลักษณ์ พรมน้ำไปบนผิวชีส มันคือน้ำผสมเกลือที่มีแบคทีเรียชนิดพิเศษ จากนั้นก็จะลวกมันและทำแต่ละด้านให้เป็นสี่เหลี่ยมสุดปลายก้อนชีส แบคทีเรียจะเริ่มเติบโต ทำให้โปรตีนในชีสแตกตัว เปลี่ยนมันจากชีสร่วนๆ ที่เป็นกรดมากให้กลายเป็นชีสนุ่มๆ มันทำให้ด้านนอกของชีสนิ่มเข้าไปถึงด้านใน ลิมเบอร์เกอร์อาจไม่ใช่ชีสพรมน้ำที่กลิ่นแรงที่สุด แต่มันอาจเป็นกลิ่นประเภทที่คนจำได้ เพราะบรีวีแบคทีเรียม (Brevibacterium) ในชีสลิมเบอร์เกอร์เป็นแบคทีเรียชนิดเดียวที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกลิ่นตัวของคนเรา ที่โรงงานของสหกรณ์ชาเลตชีสใช้แบคทีเรียชนิดเดียวกันนี้จากแผ่นไม้สนในห้องบ่มตั้งแต่ต้นปี 1900 ปัจจุบันชาเลตชีตคือบริษัทเดียวที่ผลิตลิมเบอร์เกอร์ในสหรัฐ แต่ต้นศตวรรษที่ 20 ลิมเบอร์เกอร์ได้รับความนิยมอย่างมาก
ถ้าคุณคิดว่าการทาแบคทีเรียเป็นวิธีที่น่ารังเกียจในการบ่มชีส คุณอาจอยู่ให้ห่างจากมิโมเล็ตต์ (Mimolette Cheese) เนยแข็งที่ถูกบ่มด้วยมูลชองไรในโพรงไม้ มันเป็นชีสโปรดของชาร์ล เดอ กูล (Charles de Gaulle) อดีตประธานาธิบดีของฝรั่งเศส ถ้าเราดูที่ผิวจะเห็นตัวไรที่กินเข้าไปในผิวเหมือนตามด มันมีผลทำให้รสชาติแปลกออกไป เนื้อชีสจะค่อนข้างอ่อนอยู่กึ่งกลางระหว่างเชดดาห์กับอีดาม (Edam Cheese) สิ่งมีชีวิตที่นิยมใช้ในการบ่มชีสมากกว่าก็คือรา ราบนชีสถูกเพาะมาอย่างดี ไม่เหมือนที่ขึ้นตามห้องใต้ดินอับๆ
ในตระกูลเดียวกับบรี ชีสนมแพะที่เต็มไปด้วยรานี้เรียกว่า โครติน (crottin cheese) กับ คามิลเลีย (camilia) ถูกบ่มอยู่ที่เร้ดวู้ดฮิลล์ฟาร์ม ช่วงแรกของการผลิต คนทำชีสใส่การผลิตชีส ลงในนม ระหว่างขั้นตอนการบ่ม ราจะขึ้นอยู่บนผิวหน้าชีส เพราะมันต้องการอากาศ ชีสจะถูกเปลี่ยนองค์ประกอบ ราจะทำให้ไขมันเนยแตกตัวไปด้วย มันจะหมักชีสจากด้านนอกเข้าไปด้านใน คาเมมเบิร์ต (Camembert Cheese) กับ บรี (Brie Cheese) ถึงได้มีขอบหนืดๆ มันจะถูกหมักไปเรื่อยๆ จนกว่าชั้นในสุดจะเหลวเหมือนกัน
ชีสหนืดที่มีชื่อเสียงที่สุดคือชีสสีฟ้าอย่างสติลตัน (Stilton) ของอังกฤษ กอกอนโซล่า (Gogonzola) ของอิตาลี และโดยเฉพาะ โรคฟอร์ท (Roquefort) ของฝรั่งเศส ตามที่เล่ากันมานมแกะสีฟ้าถูกบ่มในถ้ำที่ชื่อว่าโรคฟอร์ทและมีราขึ้นตามเนื้อชีส โรคฟอร์ทคือชีสนมแกะสีฟ้าที่ทำกันในแคว้นโอแวร์ญ (Auvergne) ของฝรั่งเศส มันคือนมแกะแท้ๆ และถูกบ่มอยู่ในถ้ำ พอถึงจุดนึงชีสจะขึ้นรา พอปาดออกอากาศจะเข้าไปและทำให้ราสีฟ้าเจริญเติบโต มันคือราสีฟ้าที่เรียกว่า เพนิซิเลียมโรคฟอร์ท ชีสโรคฟอร์ทไม่เหมือนใครเลย มันไม่เหมือนชีสสีฟ้าอื่นๆ
ชีสที่มีเอกลักษณ์อีกชนิดหนึ่งคือชีสเอ็มเมนทอลที่ทำในสวิสเซอร์แลนด์ แล้วรูพวกนี้ในชีสสวิสนี้มาจากไหนล่ะ ในการทำชีสสวิสในขั้นตอนแรกๆ จะใส่แบคทีเรียชนิดพิเศษลงไป มันชื่อว่าแบคทีเรียโพรพิโอนิก ซึ่งเกิดขึ้นตามธรรมชาติในนมจะเติบโตในห้องบ่มที่อุ่นกว่าปกติ พอมันทำให้ชีสอุ่น แบคทีเรียโพรพิโอนิกก็จะเริ่มเติบโต พวกมันจะก่อตัวเป็นหย่อมเล็กๆ หย่อมพวกนี้จะเริ่มสร้างคาร์บอนไดออกไซด์ และคาร์บอนไดออกไซด์นี้จะดันให้ชีสโป่งเกิดเป็นรูด้านในชีส เจ้าแบคทีเรียชนิดนี้ยังทำให้เกิดรสชาติที่เราเรียกกันว่าเป็นรสชาติแบบสวิส
รสชาติคือสิ่งสำคัญเหนืออื่นใดของชีส ขอต้อนรับเข้าสู่โลกของชีสแปรรูป ชีสที่ผ่านกระบวนการแล้วอาจแปรรูปได้หลายอย่าง อาจจะเป็นชีสแผ่นแบนๆ ไปจนถึงชีสที่เป็นครีมซอส มันถูกปรุงแต่งด้วยสารต่างๆ แล้วนำมาคืนรูปใหม่ ชีสที่ได้มีอายุที่นานกว่าตามธรรมชาติ ละลายได้สม่ำเสมอกว่าและผลิตได้ประหยัดกว่า เราพบกระบวนการนี้ได้ที่วิโนน่าฟู้ดส์ กรีนเบย์ วิสคอนซิน ที่โรงงานแห่งนี้ผลิตชีสแปรรูปหลายชนิด รวมทั้งชีสซอสแบบเป็นขวด มันมีตราสินค้าเป็นรูปวัวบนกระป๋อง ชีสแปรรูปจะเริ่มจากชีสธรรมชาติอย่างเชดดาห์หรือโคลบี้ ที่โรงงานวิโนน่าแห่งนี้ เชดดาห์ชีสสีขาวก้อนละ 40 ปอนด์ถูกบด เป้าหมายคือเพื่อเพิ่มพื้นผิวให้สารเคมีแปรรูปแทรกซึมเข้าเนื้อชีสให้ได้มากที่สุดในหม้อผสม ที่จะใส่สารอิมัลซิไฟเออร์ ผงหางนม ไขมัน และน้ำ ผสมจนชีสมีเนื้อเหนียวข้น
ส่วนประกอบสำคัญในชีสแปรรูปทุกชนิดก็คือสารอิมัลซิไฟเออร์ที่จะทำให้มันรวมเข้ากับสารอื่นเป็นเนื้อเดียวกันทำให้ไขมันกระจายตัวและไม่แยกชั้นกันกับผงหางนมโปรตีนที่ใส่เข้ามาแม้เวลาจะผ่านไปและทำให้มันมีเนื้อนุ่มเนียน ส่วนผสมถูกหลอมและคนอยู่ตลอดเวลา มันคือขั้นตอนสำคัญอย่างหนึ่งในการขึ้นรูปให้เนื้อชีส เนื้อของมันเกือบจะเหมือนพลาสติกภายในหม้อผสมที่มีอุณหภูมิร้อนมากๆ
ชีสแปรรูปชนิดแรกถูกวางจำหน่ายในปี 1915 โดยชายผู้ที่ประทับใจประวัติของชีสมากกว่าใครๆ เขาคือ เจมส์ แอล คราฟท์ อาชีพทำชีสของคราฟท์เริ่มต้นในชิคาโกในปี 1903 ในตอนแรกเขาลงทุน 65 เหรียญสหรัฐกับม้าและรถเทียมม้า จากนั้นก็เริ่มส่งชีสไปยังร้านของชำในท้องถิ่น แต่คราฟท์ไม่พอใจกับผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่ในขณะนั้น มันไม่มีความเสถียรในแง่ของรสชาติและคุณภาพของชีสและยังมีปัญหากับอายุการเก็บที่สั้นอีกด้วย
ปี 1911 เริ่มทดลองทำชีสที่ฆ่าเชื้อด้วยความร้อนซึงสามารถขายเป็นกระป๋อง แต่ความร้อนทำให้ไขมันและโปรตีนแยกตัวกัน ในที่สุดคราฟท์ก็พบว่าการคนอย่างสม่ำเสมอและการใช้สารอิมัลซิไฟเออร์แก้ปัญหานี้ได้ ในไม่ช้าคราฟท์ก็ได้ออเดอร์ล็อตใหญ่ เขาได้ทำการเซ็นสัญญาว่าจะส่งชีสที่ไม่เน่าเสีย 6 ล้านปอนด์ให้กับกองทัพสหรัฐระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และนี่ก็คือสัญญาฉบับสำคัญที่ช่วยให้เจมส์ แอล คราฟท์พัฒนาธุรกิจของเขาขึ้นมา ธุรกิจกลายเป็นอาณาจักรอย่างรวดเร็ว ปี 1923 ทำบริษัทชีสที่ใหญ่ที่สุดในโลก จากนั้นในปี 1928 คราฟท์ก็วางตลาดก้อนชีสนุ่มๆ สีทองที่มีชื่อแสนไพเราะว่าเวลวีต้า (Velveeta)
สิ่งที่เวลวีต้าไม่เหมือนกับชีสอื่นๆ ก็คือข้อเท็จจริงที่ว่า หางนมที่ถูกแยกออกไปตอนทำชีสถูกนำมาใส่กลับเข้ามาตอนแปรรูป และสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์พบนั้นทำให้ชีสมีเนื้อครีมที่แปลกใหม่และคุณค่าทางสารอาหารที่ได้เพิ่มขึ้น และไม่น่าเชื่อว่าร้อยละ 30 ของชีสที่ผลิตทั่วอเมริกานั้นคือชีสของคราฟท์ วิศวกรของคราฟท์ยังนำเทคโนโลยีหลักๆ ทั้งหมดมาใช้ในการผลิตชีสแปรรูป รวมทั้งหม้อที่กวนชีสได้อย่างต่อเนื่องก็ยังถูกใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน เท่านั้นยังไม่พอ นักวิทยาศาสตร์ของคราฟท์ยังคิดค้นการผลิตครีมชีสที่ไฮเทคจนน่าประหลาดใจ
ในยุค 1940 ออสการ์ เจ ลิ้งค์ ได้ผลิตเครื่องแยกครีมเพื่อทำครีมชีส ซึ่งทำให้เราแยกหางนมออกจากครีมชีสได้ภายใน 15 วินาที แทนที่จะเป็นชั่วโมงๆ เหมือนเมื่อก่อน เขายังคิดค้นหม้อต้มพิเศษที่ทำให้เรายืดอายุของสินค้าออกไปได้ถึง 120 วัน ครีมชีสคือชีสธรรมชาติไม่ใช่ชีสแปรรูป แต่การทำให้เนื้อครีมชีสนั้นสมบูรณ์แบบได้นั้นไม่ธรรมดาเลย และมันทำโดยไม่ใช้ครีม มันทำโดยการใช้ให้แบคทีเรียค่อยๆ จัดเรียงประจุไฟฟ้าที่มีอยู่ในนม ประจุไฟฟ้าที่มีในนมอยู่แล้วจะเป็นประจุลบเป็นส่วนใหญ่ มันจึงผลักกันเองและไม่เข้าใกล้กันและกัน นมจึงอยู่ในสภาพของเหลวไม่เป็นเจล แต่เมื่อเราใส่แบคทีเรียลงไป มันจะสร้างกรดบางอย่างและเปลี่ยนกลุ่มประจุไฟฟ้าในโปรตีนให้กลายเป็นประจุบวก ทีนี้พวกมันก็จะเริ่มดึงดูดกันและติดกัน เมื่อประจุมีความสมดุล ส่วนผสมข้นๆ จึงอยู่ในสภาพครีมโดยสมบูรณ์ไม่เหลวไม่แข็ง ณ จุดนั้นมันจะถูกให้ความร้อนอย่างรวดเร็วเพื่อฆ่าแบคทีเรียให้มันหยุดทำงานและก่อตัวเป็นครีมชีส
ในปี 1940 นอร์แมน คราฟท์ น้องชายของเจมส์ ออกแบบระบบกระบอกเย็นที่ไม่เหมือนใคร เพื่อทำผลิตภัณฑ์ที่เขาคิดเอาไว้มาหลายปี ชีสแผ่นสำเร็จรูป ชีสที่ผ่านการให้ความร้อนมาแล้วจะไหลเข้าไปในกระบอกที่ทำความเย็นขนาดใหญ่ มันจะสร้างแผ่นชีสที่เย็นตัวลงอย่างรวดเร็วและแผ่นนั้นก็จะถูกตัดออกเป็นริ้วอย่างรวดเร็ว และจะถูกตัดขวางอีกทีเพื่อให้มีขนาดเป็นสี่เหลี่ยมที่ใส่พอดีกับขนมปัง ซึ่งปกติจะผลิตออกมาเป็นปึกๆ ละ 8 แผ่น จากนั้นก็บรรจุหีบห่อ ฟังดูแล้วเหมือนมันง่าย แต่ก็ถือว่านอร์แมน คราฟท์นั้นเข้าใจคิดมากในยุคนั้น ในที่สุดเมื่อชีสแผ่นนี้ถูกวางจำหน่ายใน ปี 1950 มันเป็นสิ่งที่ฮือฮามาก จากนั้นก็กลายเป็นสินค้าสำคัญจนเป็นที่รู้จักในฐานะที่เป็นชีสอเมริกัน ปัจจุบันชีสแต่ละแผ่นยังคงถูกหั่นมาจากโรงงานคราฟท์ จากรายงานประจำปี ชีสของคราฟท์สามารถผลิตได้ถึง 7,200 ล้านแผ่น ปี 1952 คราฟท์วางตลาด Whiz Cheese ชีสแปรรูปความชื้นสูงชนิดทาที่สามารถทาได้เรียบเนียนมากขึ้น
ความสุขของคนนับไม่ถ้วนคือพิซซ่าร้อนๆ เคล็ดลับของมันก็คือมอซซาเรลล่าชีสนั่นเอง มันคือชีสที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในอเมริกาจากการนิยมทานพิซซ่า ไม่น่าแปลกใจเลยที่คนอเมริกันทานพิซซ่าวันละประมาณ 100 เอเคอร์ ถ้านับตลอดทั้งปีมันก็เป็นพื้นที่ที่สามารถครอบคลุมได้ทั้งแมนฮัตตันด้วยพิซซ่าหนาสองชั้น กลับไปที่อัลโต้แดรี่จากวิสคอนซิน พวกเขาผลิตชีสมอซซาเรลล่าจากนมวัวตลอด 24 ชัวโมง พวกเขาผลิตมอซซาเรลล่าได้ประมาณวันละ 250,000 ปอนด์ ถ้าทั้งปีก็ประมาณ 96 ล้านปอนด์ และในหนึ่งวันสามารถผลิตมอซซาเรลล่าสำหรับใส่พิซซ่าได้ประมาณ 500,000 ถาด
มอซซาเรลล่าเป็นที่รู้จักในฐานะ พาสต้าฟิลาต้า หรือชีสที่สามารถยืดได้ เครื่องจักรที่เรียกว่าคุ๊กเกอร์สเตร็ทเชอร์ (Cooker Stretcher) จะให้ความร้อนกับก้อนเคิร์ด 136 องศาเพื่อละลายมัน การนวดด้วยเครื่องจักรเพื่อเปลี่ยนเคิร์ดเหลวๆ ให้กลายเป็นชีสยืดๆ พอมันออกจากเครื่องผสมและเตาให้ความร้อน มันจะมีเนื้อที่เหนียวหนืดมากๆ ต่อมาเคิร์ดร้อนๆ นี้ถูกเทลงในแม่พิมพ์ เพื่อรักษาเนื้อนุ่มๆ หยุ่นๆ ของมอสซาเรลล่าไว้ ก้อนที่ขึ้นรูปแล้วจะถูกแช่ลงในน้ำเกลือเย็นๆ การแช่น้ำเกลือ 4 ชั่วโมงหยุดกระบวนการบ่มของมันไว้ เมื่อเย็นลงแล้วก้อนมอซซาเรลล่าจะถูกบรรจุลงหีบห่อและถูกบ่มไปอีกประมาณหนึ่งสัปดาห์ จากนั้นชีสจำนวนมาหจะไหลออกมาตามเครื่องตัดและเข้าไปอยู่ในถุงสูญญากาศขนาด 5 ปอนด์ แล้วมันก็จะถูกส่งไปอยู่ตามหน้าพิซซ่าที่อยู่ในเตาอบ
เพื่อให้มอซซาเรลล่าเกรียมนิดหน่อยและยืดได้อย่างสมบูรณ์ คนทำชีสไม่เพียงต้องละละลายและยืดเคิร์ดเท่านั้น แต่พวกเขายังต้องทำให้แบคทีเรียที่เป็นตัวบ่ม ทำให้โปรตีนนมและแคลเซียมที่เกาะกันอยู่หนาๆ แตกตัวด้วย เพราะแคลเซียมคือกาวที่ยึดโครงสร้างของโปรตีนนมในชีสไว้ด้วยกัน ถ้าเราไม่กำจัดกาวนั้นด้วยกรดระหว่างกระบวนการผลิต ชีสที่ได้ก็จะมีเนื้อทึบๆ ไม่หยุ่นหรือยืด แต่ถ้ากำจัดออกไปทั้งหมดมันก็จะไม่เกาะกันเป็นก้อน
มอซซาเรลล่าแบบดั้งเดิมนั้นทำมาจากนมควาย เมื่อพวกโกธส์ (Goths) นำควายมาจากแคว้น นาเปลส์ (Naples) ช่วงต้นยุคกลาง คนทำชีสอิตาเลียนก็ทำมอซซาเรลล่าดีบูฟาล่าตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา นมควายมีรสชาติหวาน มันและค่อนข้างเข้มข้น มันเหมาะสำหรับการทำมอซซาเรลล่าสดที่ต่างจากชีสสำหรับทำพิซซ่าชนิดอื่นคือมันไม่ได้บ่ม มีความชื้นสูงกว่า มีไขมันสูงกว่า และสามารถกินได้ทันที บริษัทชีสเล็กๆ ในแคลิฟอร์เนียที่ชื่อ Bubalus bubalis ตามชื่อวิทยาศาสตร์ของควายผลิตมอซซาเรลล่าสดได้ 600 ปอนด์ทุกวัน เท่ากับที่อัลโต้แดรี่ผลิตได้ใน 4 นาที เมื่อใส่ก้อนเคิร์ดมอซซาเรลล่าลงในเครื่อง Cooker Stretcher แล้ว สัญชาติญาณและประสบการณ์ของคนทำชีสคือทุกสิ่งทุกอย่าง คนทำชีสใส่น้ำร้อนประมาณ 200 องศาลงไปเพื่อให้เคิร์ดนุ่มและยืดได้อีกครั้ง จากนั้นก็ใส่เกลือและให้เครื่องจักรยืดไปจนกว่ามันเหนียวพอที่จะเอามาปั้นเป็นลูกบอลได้
มือกลอัตโนมัติของเครื่อง Cooker Stretcher จำลองมือมนุษย์ที่เป็นเครื่องมือเก่าแก่เพื่อยืดดึงมอซซาเรลล่าสด มอซซาเรลล่านั้นหมายถึงตัดได้ด้วยมือ เพราะคำว่า Mozzare ในภาษาอิตาเลียนนั้นแปลว่าตัด พอเครื่องปั้นเป็นก้อนกลมๆ แล้วก็จะช็อคมันด้วยน้ำเกลือเย็นจัด ที่โรงงาน Bubalus bubalis ยังผลิตรีค็อตต้านมควายอีกด้วย รีค็อตต้าไม่เหมือนชีสชนิดอื่นเพราะมันทำมาจากหางนมคัดทิ้งทั้งหมด แทนที่จะเป็นเคิร์ด
หางนมคือสิ่งที่เหลือหลังจากได้เคิร์ดแล้ว ซึ่งยังมีโปรตีนเหลืออยู่มาก และจะเอาหางนมนี้ไปใส่ในถังแยกต่างหากเพื่อทำ รีค็อตต้า (Ricotta) และจะต้มมันจนมีอุณหภูมิ 198 องศา จากนั้นก็จะใส่เกลือและกรดซิตริกลงไปนิดหน่อย โปรตีนซึ่งอยู่ในหางนมนั้นก็จะจับตัวเป็นก้อนอีกครั้ง แยกชั้นออกมาจากของเหลว ก็ช้อนออกมาใส่บรรจุภัณฑ์
หางนมไม่เพียงเอามาทำเป็นรีค็อตต้าเท่านั้น มันถูกจัดว่าเป็นอาหารที่มีคุณค่าสูง และนำมาผลิตให้เป็นผงเพื่อทำเวย์โปรตีนสำหรับนักกีฬาที่ต้องการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ ที่โรงงานของอัลโต้แดรี่มีเครื่องทำผงหางนมที่ใหญ่ที่สุดในโลก มันสามารถผลิตผงหางนมได้ประมาณ 12,000 ปอนด์ต่อชั่วโมง หางนมที่เป็นของเหลวจะถูกฉีดผ่านหัวพ่นสวนผ่านลมร้อนเพื่อให้ความชื้นระเหยออกไปแล้วตกลงมากลายเป็นผง ผงหางนมประกอบด้วยโปรตีนประมาณร้อยละ 12 ที่เหลือส่วนใหญ่คือน้ำตาลนมกับแร่ธาตุเช่นแคลเซียมหรือแมกนีเซียม อดีตของเหลือทิ้งนี้จะถูกผสมเข้ากับอาหารนับไม่ถ้วนตั้งแต่ขนมปังไปจนถึงไส้กรอก ในบรรดาคุณประโยชน์มากมาย หางนมทำหน้าที่เป็นสารให้ความหวาน โดยให้โปรตีนและแร่ธาตุสำคัญด้วย
หางนมไม่ใช่แค่อาหารเพื่อฟื้นฟูสุขภาพเท่านั้นมันยังมีคุณสมบัติของอาหารที่มีในชีสอีกด้วย ชีสมีไขมันมาก แต่นักวิทยาศาสตร์จากวิสคอนซินในศูนย์วิจัยค้นคว้าด้านการผลิตนมร่วมงานกับฟาร์มนมและคนทำชีสเพื่อกลั่นสารอาหารที่ดีกว่านั้นจากไขมัน โดยเพิ่มระดับไขมันโอเมก้า 3 ของชีสซึ่งเป็นไขมันดี พวกเขาเพิ่มระดับโอเมก้า 3 ในชีสด้วยวิธีการ 2 อย่าง อย่างแรกคือการให้อาหารที่ดีกับวัวที่รีดนม อย่างเมล็ดของต้นป่าน อีกวิธีหนึ่งก็คือผสมสารที่ได้จากทะเลไม่ว่าจะได้จากปลาหรือสาหร่าย นักวิทยาศาสตร์ค้นพบวิธีแยกกลิ่นคาวต่างๆ ออกจากปลาได้ หรือแม้กระทั่งการผสมสารที่เป็นโปรไบโอติกลงในชีส ที่ทำให้มันมีประโยชน์ต่อระบบย่อยอาหาร
แม้จะมีวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชีสก็ยังจะถูกปรับแต่งวิธีการผลิตโดยความคิดสร้างสรรค์ของคนทำชีสแต่ละคนต่อไป ชีสจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับผืนดิน และสัตว์อันเป็นแหล่งที่มาของมัน อาหารที่วัว ควาย แกะ แพะกิน สารอาหารที่ถุกแปลงเป็นน้ำนม กลายเป็นไขมัน แล้วกลายเป็นชีส ทำให้ชีสมีความซับซ้อนและมีลักษณะของมันเอง มันน่ามหัศจรรย์มาก มันอยู่กับเรามานานเหตุผลเพราะว่า มันเป็นอาหารที่ดี พระเจ้าสร้างมนุษย์ มนุษย์สร้างชีส
บทความแนะนำ
10 ตำนานผีอาเซียนประเทศเพื่อนบ้านสุดสยอง
1. เจ็งล็อต (Jenglot) จากประเทศอินโดนีเซีย
ประเทศบ้านเกิดของเจ็งล็อตก็คืออินโดนีเซีย มันเป็นลูกครึ่งระหว่างมัมมี่กับแวมไพร์ มีขนาดเล็กกะจิ๋วหลิวประมาณ 6 นิ้วเท่านั้นเอง เกิดขึ้นมาจากฤาษีที่บำเพ็ญเพียรตั้งมั่นมุ่งสู่ความเป็นอมตะ อุทิศตนนับถือปีศาจจนได้พลังอำนาจมาและกลายเป็นเจ็งล็อต คนที่เลี้ยงเจ็งล็อตจะต้องให้เลือดกับมันด้วย จะเป็นเลือดคนหรือเลือดสัตว์ก็ได้ การให้เลือดนั้นก็ทำโดยการฉีดเลือดเข้าไปในตัวมันทุกเดือนๆ ละ 1 ซีซี แต่บางคนก็เพียงแค่เทเลือดใส่ถ้วย วางเอาไว้ข้างๆ เจ็งล็อต แล้วมันจะแอบกินเองตามลำพังตอนที่ไม่มีใครเห็น เจ็งล็อตเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปในอินโดนีเซีย ขนาดว่ามีการจัดงานโชว์เจ็งล็อตกันที่กรุงจาร์การ์ต้า เมืองหลวงของประเทศอินโดนีเซีย เชื่อกันว่าเจ็งล็อตบางตัวมีอายุถึง 6,000 ปีกันเลยทีเดียว
2. กุนตีลานัก (Kuntilanuk) จากประเทศอินโดนีเซีย
ผีกุนตีลานัก จะคล้ายกับผีแม่นาครวมกับผีนางตานีของบ้านเรานั่นเอง เกิดจากสาวสวยที่ตายระหว่างตั้งครรภ์หรืออุ้มท้องหรือที่เรียกว่าตายทั้งกลมนั่นเอง กุนตีลานักจะอาศัยอยู่ในต้นกล้วยเหมือนกับผีนางตานี เธอจะอยู่ในชุดเสื้อคลุมยาวสีขาว ผมยาวปิดหน้าปิดตา ผิวสีขาวซีด และอุ้มท้องอยู่ เมื่อไหร่ที่มีเสียงร้องไห้เบาๆ หรือเสียงสุนัขครางหงิงๆ แสดงว่าผีกุนตีลานักเริ่มเข้ามาอยู่ใกล้ๆ แล้ว แต่ถ้าได้ยินเสียงเด็กทารกร้องไห้เสียงดังหรือสุนัขหอนแสดงว่าผีกุนตีลานักเริ่มเข้ามาในอาณาเขตละแวกบ้านของเราแล้ว และสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวก็คือ ผีกุนตีลานักนั้นชื่นชอบการควักลำไส้เป็นที่สุด ด้วยความที่เธอมีเล็บยาวที่แหลมคม ถ้าใครโชคร้ายบังเอิญไปสบจากับผีรายนี้ก็จะโดนควักลูกตาออกไปกิน แถมยังโดนดูดสมองออกไปด้วย ยิ่งถ้าเหยื่อเป็นผู้ชายจะแถมด้วยการทำร้ายอวัยวะเพศอย่างโหดร้ายเข้าไปอีก บางความเชื่อเล่าว่า กุนตีลานักจะเลือกเหยื่อของเธอจากกลิ่นเสื้อผ้าที่ตากเอาไว้ ชาวอินโดนีเซียจึงมักจะไม่ยอมตากเสื้อเอาไว้นอกบ้านในเวลากลางค่ำกลางคืนโดยเด็ดขาด โดยปกติผีตัวนี้มักจะชอบยืนรอเหยื่อเข้ามาติดกับเองมากกว่า ถ้าเราได้ยินเสียงเด็กร้องไห้แถวๆ ต้นกล้วยก็ยังพอมีโอกาสหนีไปให้ไกลจากบริเวณนั้น
3. โปลอส จากประเทศมาเลเซีย
โปลอสจะคล้ายๆ กับรักยมของประเทศไทย เกิดจากเลือดของคนที่ถูกฆ่าตาย โดยการเอาเลือดของคนดังกล่าวไปเก็บไว้ในขวดแล้วทิ้งไว้ 1-2 สัปดาห์ วิญญาณผู้ตายจะถูกเรียกออกมาและถูกสะกดไว้ในขวดนั้น หลังจากนั้นสองสัปดาห์จะเริ่มได้ยินเสียงออกมาจากขวด เริ่มต้นจากเสียงร้องไห้เป็นอย่างแรก จากนั้นอาจจะมีเสียงแปลกๆ อื่นๆ ตามมา รูปร่างของโปลอสจะเหมือนผู้หญิงเปลือยตัวเล็กๆ อาศัยอยู่ในขวด จากนั้นผู้เลี้ยงดูจะต้องกรีดเลือดของตัวเองหยดใส่ในขวดเพื่อเป็นอาหารแก่ปีศาจตนนี้ อีกทั้งยังเป็นสัญลักษณ์ของความจงรักภักดีที่ปีศาจพร้อมจะรับใช้ผู้เป็นเจ้าของตนต่อไป ปีศาจโปลอสจะไม่ฟังคำสั่งใครนอกจากเจ้าของคนเดียว ส่วนใหญ่เจ้าของนั้นจะเป็นพ่อมดหมอผี ที่เลี้ยงดูโปลอสไว้ใช้ในทางมิชอบหรืองานผิดกฎหมาย อย่างเช่นการฆ่าคนเป็นต้น โปลอสจะทำร้ายทุกคนที่เจ้านายสั่งมา โดยจะทิ้งรอยแผลช้ำๆ ไว้บนร่างกายให้ดูต่างหน้า อาจถึงขั้นดูดเลือดออกจากปากของเหยื่อด้วย การเลี้ยงปีศาจโปลอสนี้เหมือนดาบสองคม ถ้าเลี้ยงดีก็ได้ประโยชน์ แต่หากพลั้งเผลอหรือละเลย ก็อาจทำให้ผู้เลี้ยงถึงตายได้เช่นกัน อาหารของโปลอสคือเลือด หากไม่ให้อาหารแก่มันตามกำหนด มันก็จะโกรธและเป็นอันตรายต่อเจ้าของและทุกคน วิธีป้องกันโปลอสทำร้ายให้ใช้เมล็ดพริกไทยผสมน้ำมันและกลีบกระเทียมสาดใส่โปลอส มันจะอ่อนแรงและหมดพลังในทันที
4. ผีปีนังกาลาน (Penanggalan) จากประเทศมาเลเซีย
ปีนังกาลานเป็นผีร้ายแห่งคาบสมุทรมาเลย์อันน่าสะพรึงกลัว ลักษณะของปีนังกาลานจะลอบไปมาโดยที่ไม่มีตัว มีแต่หัวกับลำไส้หรือไม่ก็มดลูกเพื่อหลแกหลอนผู้คนคล้ายๆ กับผีกระสือบ้านเรา ว่ากันว่าผีปีนังกาลานนี้เป็นผีที่ตายทั้งกลมจึงมีนิสัยดุร้ายและเกรี้ยวกราดมาก พร้อมจะเล่นงานเด็กๆ และผู้หญิงที่ตั้งท้องตลอดเวลา
มีเรื่องเกี่ยวกับผีปีนังกาลาน เรื่องหนึ่งเล่าว่า ครอบครัวหนึ่งประกอบไปด้วยพ่อ แม่และลูก อยู่กินกันอย่างปกติสุขทั่วไป แต่ในคืนหนึ่งผู้เป็นพ่อได้ออกไปทำธุระนอกบ้าน ฝ่ายแม่นั้นปิดประตูลงกลอนมิดชิดแล้วขังตัวเองอยู่ในห้องกับลูกที่หลับไปแล้ว จากนั้นเธอก็หยิบขวดน้ำมันมนต์ที่ซ่อนไว้ออกมาเทน้ำมันมนต์นั้นทารอบคอตนเอง สักพักหัวกับตัวของนางก็แยกออกจากกัน โดยมีตับไตไส้พุงติดออกมาด้วย หัวและไส้ของนางลอยออกไปทางหน้าต่างเพื่อออกไปหากิน ถ้าชาวบ้านสักคนบังเอิญมองมาก็จะเห็นเป็นแสงสีเหลืองวับแวมและอาจได้ยินเสียงคล้ายกับลมพัดตลอดเวลาที่หัวของปีนังกาลานแลยไป เสียงนั้นดังขึ้นเพื่อขับไล่สัตว์เล็กสัตว์น้อยเพื่อไม่ให้เข้ามายุ่งกับพวงไส้ของหล่อนนั่นเอง ลูกตัวเล็กที่นอนหลับอยู่ได้ตืนขึ้นมาและทันได้เห็นเหตุการณ์ลับของแม่ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น จึงหยิบเอาน้ำมันมนต์ของแม่มาทารอบคอของตัวเองบ้าง เพียงไม่นานในขณะที่หัวกำลังจะแยกออกจากตัว เด็กน้อยหวาดกลัวจนขวัญเสียร้องโวยวายออกมา
"ช่วยด้วยหัวของฉันกำลังจะหลุดออกจากตัวแล้ว"
ชาวบ้านละแวกนั้นได้ยินกันทั่ว แต่ไม่มีใครกล้าออกไปให้ความช่วยเหลือ จนกระทั่งหัวของผู้เป็นแม่ลอยกลับมา เสียงโวยวายจึงเงียบลง หลังจากคืนนั้นครอบครัวประหลาดนี้ก็ย้ายหนีออกจากหมู่บ้านและไม่มีใครพบเห็นพวกเขาอีกเลย
5. ปีศาจทิกบาลัง (Tikbalang) จากประเทศฟิลิปปินส์
ทิกบาลังเป็นสัตว์ประหลาดของประเทศฟิลิปปินส์ มีลักษณะเป็นครึ่งคนครึ่งม้า มีตาสีแดงคล้ายกับเซนทอร์ในตำนานกรีก แม้ทิกบาลังจะมีสี่ขาเหมือนเซนทอร์ แต่มันก็สามารถยืนสี่ขาได้เหมือนกับคน มันอาศัยอยู่ในป่าของฟิลิปปินส์และไม่ชอบให้ใครมาทำเสียงเอะอะมะเทิ่งในป่า หากมันไม่พอใจ มันจะใช้อิทธิฤทธิ์ทำให้คนเหล่านั้นหลงป่า ทิกบาลังสามารถกลายร่างเป็นคนได้ ล่องหนก็ได้ มันทำทุกวิถีทางให้คนหลงทาง วิธีการป้องกันก็คือเมื่อเดินเข้าป่าไปก็ให้ตะโกนขออนุญาติทิกบาลังเหมือนกับที่ขออนุญาติเจ้าป่าเจ้าเขาของคนไทยเรา และเมื่อเข้าป่าก็ให้พยายามสำรวม อย่าทำเสียงเอะอะนั่นเอง
6. ปีศาจกาปรี (Kapre) จากประเทศฟิลิปปินส์
กาปรี เป็นปีศาจที่มีชื่อเสียงตนหนึ่งของฟิลิปปินส์ ชอบนุ่งผ้าเตี่ยวเหมือนคนพื้นเมือง ไม่สวมเสื้อ ชอบอยู่ตามต้นไม้ใหญ่เช่นต้นไทร กอไผ่ ต้นมะม่วง บ้างก็จะนั่งอยู่ตามต้นไม้ บ้างก็จะยืนอยู่ข้างๆ ต้นไม้ บางคนเล่าว่ากาปรีจะสวมเข็มขัดด้วย ลักษณะของมันโดยรวมก็เหมือนมนุษย์ธรรมดาทั่วไป แต่ว่าตัวจะสูงมากประมาณ 3 เมตร ตามตัวมีขนสีน้ำตาล ไว้หนวดเครายาว ความแปลกของเจ้าปีศาจตัวนี้ก็คือ มันติดบุหรี่ ทุกครั้งที่มีคนพบเจอตัวมันก็จะเห็นว่ามันสูบบุหรี่หรือซิการ์อยู่เสมอ แม้หน้าตาจะดูดุร้ายน่ากลัว แต่มันกลับเป็นมิตรกับผู้คน แถมยังอยากมีความรักอีกด้วย ที่สำคัญเจ้ากาปรีเป็นปีศาจช่างเลือก มันจะเลือกคนที่มันรู้สึกชอบเท่านั้นที่จะมองเห็นตัวมันได้ บางครั้งเวลาที่มีคนหลงป่า กาปรีก็จะหาเรื่องออกมาพูดคุยด้วย แต่ก็มีบางคนเชื่อว่ามันเองนี่แหละที่เป็นสาเหตุให้คนหลงป่า เหตุการณ์แปลกๆ ที่บอกให้รู้ว่ากาปรีอยู่ใกล้ๆ ก็คือจะมีเสียงดังกรอบแกรบเกิดขึ้นทั้งที่ไม่มีลมพัด หรืออาจจะได้ยินเสียงหัวเราะก้องออกมาจากต้นไม้ หรือมีควันของซิการ์ลอยออกมาจากต้นไม้ อย่างนี้เป็นต้น ความพิเศษของมันอีกอย่างคือ ในมือข้างที่ไม่ได้จับซิการ์ มันจะกำก้อนหินสีขาวขนาดเล็กประมาณเม็ดถั่วเอาไว้ เชื่อว่าถ้ามันให้หินนั้นแก่ใครแล้ว ผู้ที่ครอบครองหินนั้นจะโชคดีสมความปรารถนาทุกประการ
7. ปีศาจอัสวัง (Aswang) จากประเทศฟิลิปปินส์
ภูตปีศาจของฟิลิปปินส์ที่มีชื่อเสียงเรื่องความหลอนสุดๆ ก็คืออัสวัง ซึ่งในตอนกลางวันมันจะมีรูปร่างเป็นหญิงสาวธรรมดาๆ แต่พอตกกลางคืนพวกมันจะมีปีกงอกออกมา ความร้ายกาจของผีอัสวังนี้คือจะออกไล่ล่าสตรีมีครรภ์และทารกเป็นอาหาร โดยใช้ลิ้นที่ยาวเป็นท่อไปดูดเลือดของผู้เคราะห์ร้ายจนถึงแก่ความตาย อัสวังแบ่งแยกได้อีกเป็น 5 สายพันธุ์ นั่นก็คือ สายพันธุ์ที่หนึ่ง มานานังเกล มีรูปร่างเป็นผู้หญิง หน้าตาสะสวย มีปีกขนาดใหญ่ที่หลัง สามารถถอดลำตัวออกจากกันเป็นสองท่อนได่โดยไม่ตาย เวลาออกล่าเหยื่อก็จะบินออกไปได้มองดูเหมือนกับเหยี่ยวยักษ์ ว่ากันว่ามานานังเกลกลัวกระเทียมคล้ายกับแดร็กคูล่าของฝรั่ง ชาวบ้านเชื่อว่าถ้าเอาเกลือไปพรมตามที่อยู่ของมานานังเกลหรือพรมไปตามลำตัวท่อนบนของมันหรือบริเวณรอยต่อที่แยกตัวออกนั้น มันจะตายเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น ส่วนที่เป็นอันตรายของมานานังเกลก็คือของเหลวที่พ่นใส่ปากหญิงตั้งครรภ์ซึ่งจะเข้าไปทำลายเด็กในท้องได้ นอกจากนี้มันยังชอบกินหัวใจเด็กและยังชอบกินลูกไก่ของชาวบ้านอีกด้วย
สายพันธุ์ที่สองมีชื่อว่า มันดูรูโก คือพวกที่เป็นหญิงงามและเอาความงามเข้าล่อเหยื่อที่เป็นชาย หลังจากได้แต่งงานกับชายหนุ่มผู้เคราะห์รายแล้ว มันดูรูโกก็จะใช้ร่างของสามีเป็นแหล่งอาหารทันที ซึ่งวิธีการก็คือจะแอบดูดเลือดจากซอกคอของสามีทุกวัน จนกว่าเลือดจะหมดตัวและแห้งตายไป มันจึงจะออกไปหาเหยื่อรายใหม่ สายพันธุ์ที่สามมีชื่อว่ามันกูกูรัม คือพวกที่เป็นแม่มดที่ใช้ตุ๊กตาสาปแช่งเพื่อเสกแมลง เสกก้างปลา หรือเสกเศษแก้วเข้าตัวคนจนถึงแก่ความตาย ส่วนอีกสองสายพันธุ์นั่นคือ พวกกินซากศพ กับพวกที่สามารถแปลงร่างได้ ซึ่งมันจะแปลงร่างเป็นสิ่งมีชีวิตแรกที่มันเห็นขณะออกล่าเหยื่อ
8. ผีหญิงชุดขาวกลางถนน จากประเทศฟิลิปปินส์
ผีตนนี้อาละวาดอยู่ที่ถนนสายหนึ่งในประเทศฟิลิปปินส์ โดยมีเรื่องเล่าว่าบริเวณที่เป็นถนนสายนี้ ในอดีตมีหญิงสาวคนหนึ่งถูกข่มขืนและฆ่าอย่างโหดเหี้ยม ศพที่พบในภายหลังนั้น ส่วนที่เป็นใบหน้าได้หายไป นับตั้งแต่นั้นมาวิญญาณของเธอก็จะปรากฏตัวอยู่ในรูปของผู้หญิงใส่ชุดสีขาว ผมดำยาวแต่ไร้หน้า และยืนเลือดท่วมอยู่กลางถนนตอนกลางคืน คอยดักเหยื่อที่ขับรถผ่านไปมาอยู่ในเส้นทางนี้เสมอ มีคำแนะนำว่าถ้าผู้ขับขี่จำเป็นต้องขับรถผ่านเส้นทางนี้ในยามวิกาลก็จงอย่ามองกระจกหลัง ไม่อย่างนั้นผู้หญิงชุดขาวกลางถนนจะเข้ามาในรถในสภาพเลือดท่วมตัว มีชาวบ้านหลายรายถูกผีผู้หญิงตนนี้หลอกจนจับไข้หัวโกร๋นกันมาแล้ว มีเรื่องเล่าอีกว่า ชายหนุ่มสองคนขับรถไปทำธุระโดยที่ต้องผ่านถนนเส้นนั้นเป็นเวลาสามทุ่มเศษ พอถึงจุดเกิดเหตุทั้งคู่ก็เห็นหญิงสาวชุดขาวออกมายืนขวางอยู่กลางถนน ทำท่าเหมือนจะขอความช่วยเหลือ จนคนขับรถต้องเหยียบเบรกตัวโก่ง พวกเขาไม่เห็นใบหน้าของเธอ แต่ก็คิดว่าน่าจะเป็นคนสวย เพราะหญิงสาวไว้ผมยาวดำขลับ รูปร่างดี เมื่อพวกเขาขับรถเข้าไปใกล้ๆ หวังจะให้ความช่วยเหลือ ก็เห็นเธอยื่นมือขาวซีดออกมา ทำท่าจะแตะประตูรถ ชาวหนุ่มทั้งสองก็มองไปที่ใบหน้าของเธอ แต่ก็พบว่าใบหน้านั้นขาวโพลนและว่างเปล่า ไม่มีตา จมูก ปาก ไม่มีอะไรทั้งสิ้น ชายหนุ่มคนหนึ่งเล่าว่า ได้ยินเสียงหัวเราะเล็กแหลมที่ฟังดูคล้ายเสียงร้องไห้ของผู้หญิง เมื่อพวกเขารู้ว่าถูกผีหลอกแล้ว คนขับก็รีบออกรถและขับหนีอย่างไม่คิดชีวิตและไม่กล้าผ่านไปในเส้นทางนั้นอีกเลย
9. ผีกองกอย จากประเทศลาว
ประเทศลาวเป็นประเทศบ้านพี่เมืองน้องของไทย ที่มีอะไรหลายอย่างคล้ายคลึงกัน เรื่องราวของภูติผีปีศาจก็เป็นอีกเรื่องที่คล้ายกัน โดยกองกอยเป็นผีป่าชนิดหนึ่งมีปากเป็นท่อคล้ายกับแมลงวัน ลักษณะรูปร่างเป็นผีที่มีขาข้างเดียว เวลาไปไหนมาไหนจะใช้วิธีกระโดดไปด้วยขาข้างเดียวนั้น พร้อมส่งเสียงร้องว่า กองกอย กองกอย ไปตลอดทางเป็นที่มาของชื่อกองกอยนั่นเอง หน้าตาของผีกองกอยจะคล้ายลิงหรือค่าง ดังนั้นบางคนจึงเรียกผีกองกอยว่า ผีโป่ง หรือ ผีโป่งค่าง คนเดินป่าเชื่อกันว่าผีกองกอยจะแอบเข้ามาดูดเลือดคนที่เดินป่าตอนที่นอนหลับทุกครั้งที่มีโอกาส จึงมีวิธีแก้เคล็ดป้องกันคือ ให้นอนไขว้หรือนอนให้เท้าชิดกันไว้ทั้งสองข้าง ผีกองกอยจะไม่เข้ามายุ่ง และอย่านอนให้เท้าเลยออกมานอกเต๊นท์นอนเด็ดขาด
10. ผีปอบ จากประเทศลาว
ในประเทศลาวก็มีความเชื่อเรื่องผีปอบเหมือนกับประเทศไทย โดยเชื่อกันว่าผีปอบเกิดจากผู้ที่ร่ำเรียนวิชาไสยศาสตร์มนต์ดำจนแก่กล้า สามารถใช้อำนาจเวทมนต์คาถาไปทำร้ายผู้อื่นได้ แต่วิชาอาคมเหล่านี้ก็มีข้อห้ามและข้อปฏิบัติกำกับอยู่ด้วย ซึ่งห้ามละเมิดโดยเด็ดขาด หากกระทำผิดข้อห้ามจะเกิดการผิดครู วิญญาณของบรมครูจะลงโทษหรือสาปแช่งให้กลายเป็นปอบ หรืออีกประการหนึ่งก็เกิดจากคนเล่นคาถาอาคม ทำร้ายผู้อื่นอย่างไม่กลัวบาปกลัวกรรม ทำให้ของวิชาอาคมต่างๆ เข้าตัวกลายเป็นผีปอบในที่สุด
ผีปอบยังแบ่งออกเป็นหลายประเภทเช่น ปอบธรรมดา คือคนที่มีปอบสิงอยู่ในร่าง เมื่อคนๆ นี้ตายไป ปอบที่สิงอยู่ก็จะตายตามไปด้วย ประเภทต่อมาก็คือปอบเชื้อ หมายถึง ครอบครัวใดที่พ่อแม่เป็นปอบ เมื่อพ่อแม่ตายไป ลูกหลานก็จะสืบทอดให้เป็นปอบต่อไปเหมือนเป็นกรรมพันธุ์ ไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่ก็ตามก็ต้องเป็นผีปอบต่อเนื่องกันไปไม่รู้จบ ต่อมาคือปอบแลกหน้า หมายถึง ผีปอบที่เจ้าเล่ห์ ชอบเอาความผิดไปโยนให้คนอื่น เวลาที่เข้าสิงใคร เมื่อสอบถามว่าผู้ใดเป็นคนเลี้ยง ปอบจะไม่บอกความจริงแต่จะไปกล่าวโทษว่าคนนั้นคนนี้ โดยที่ผู้ถูกพาดพิงไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรด้วยเลย ประเภทสุดท้ายเรียกว่า ปอบกักกึก ซึ่ง กึก ในภาษาอีสานแปลว่า ใบ้ เมื่อมีคนถามปอบจะไม่ยอมพูดอะไรจนกว่าญาติพี่น้องจะไปตามหมอผีมาขับไล่ จึงจะยอมเปิดปากพูดว่าตนเป็นปอบของใคร มีใครใช้ให้มาเข้าสิง
ผู้ที่ถูกปอบสิงจะมีอาการแตกต่างกันออกไป บางคนจะแสดงกิริยาอาการดุร้าย บางคนจะนอนซมคล้ายกับป่วยไข้อย่างหนัก บางคนจะร่ำไห้รำพันไปต่างๆ นานา แต่ไม่ว่าจะมีท่าทีอาการอย่างไร ผู้ที่ถูกปอบเข้าสิงจะเรียกร้องให้นำอาหารสุกๆ ดิบๆ พวกตับหมู ตับไก่ เครื่องใน เลือดสดๆ มาให้กิน เวลากินก็จะแสดงอาการตะกละตะกลาม มูมมาม และกินได้มากผิดปกติ เมื่อญาติพี่น้องรู้ว่าผู้ป่วยถูกปอบเข้าสิงก็จะไปตามหมอผีหรือหมอธรรมให้มาไล่ปอบออกไป
ที่มา Bearry Channel Yotube
10 SURPRISING THINGS YOU DIDN'T KNOW ABOUT PRESIDENT DONALD TRUMP
He is a real-estate mogul, a reality TV star and currently the most powerful man in the world. We are talking about none other than Donald Trump. Thanks to his television and political coverage, there's a lot we know about the 45th President of the United States. However, there are also a number of facts and stories that you may not have known. Ahead you'll find no health care debate or Russia scandals. No instead we have some tidbits of info that often get overlooked in the media when it comes to the story of Donald Trump. Now, be sure to pay attention because we'll have a quiz for you and we want you to do well. Give us a big league response and we'll be sure to pin it. Fail us and well you're fired! Whatever the case, be sure to hit that subscribe button it's easy to see because it's red, and just like the color we all associate with Trump's political party.
1. The Sign
Those of you into astrology might be interested to know that Donald Trump has a sun sign of Gemini, a moon sign of Sagittarius and a rising sign of Leo. So just how accurate are the signs in this case? Well, it is said that Gemini's love to talk and are never boring. Sagittarius is affiliated with salesmen, story-tellers and exaggerators. Those under this sign also hate to be wrong and believe they are always right. And leo? It is interesting that Leo are often associated with being concerned with their hair. Sure, there's more to it but in this case we think the signs all match up pretty well.
2. The Wine
We all know that Donald Trump loves attaching his brand to anything that can be sold. From real estate to steaks, we've seen this many times. But did you know that the Donald Trump also has his own wine. It may also interest you that he hasn't just gone and slapped the golden 'T' on any wine. No, in fact Trump wine actually comes from a vineyard and winery that Trump owns in Charlottesville, Virginia. Ok technically Eric Trump owns it because now that Donald is POTUS he can't have any business interests that could conflict with the running of the country.
3. Not A Drop
All this talk of wine kind of has us thinking about pouring a nice glass of red right now. But not Donald Trump. You see he has made it very clear over the years that he won't touch alcohol. In various interviews Trump has stated that it ties back to his family and specifically his older brother Freddie Trump Jr. reportedly, Freddie was an alcoholic who passed away in 1981 due to complications linked with his drinking. According to Donald, Freddie clearly told his younger sibling to stay away from the booze. To this day, Trump appears to have listened to that advice.
4. Bankruptcy
During the past presidential campaign, accusations and claims being made against one another got really nasty. One aspect of Donald Trump's business life that came under scrutiny was the number of bankruptcies he filed as a real estate tycoon. Most people believe this number was four. In fact, Trump has officially filed for bankruptcy six times over his career. These occurred between 1991 and 2009. So where does the number of four come from? Some think the fact Trump filed for the three bankruptcies in 1992 has resulted in those being lumped into one big bankruptcy or a 'Yuge' bankruptcy if you will.
5. Pricey Cake
The donald likes to go all out for big occasions, there's no denying that. We mean, just look at the inside of his pent houses and you'll see nothing but gold. So when he married his third wife, Melania, in 2005 Trump made sure the cake was spectacular. It was a seven-tier Orange Grand Marnier cake which measured five feet in height. Adorning the 200 pound creation worth three 3,000 roses made from icing and the interior was filled with Grand Marnier buttercream frosting. In terms of costs there are no solid figures but it is believed that this wedding cake is one of the most expensive ever made, costing at least 50,000 dollars. And here we thought we were doing well with that fudgie the whale ice cream cake. Time for our quiz. If you had the same opportunities as Donald Trump, which career path would you have settled on real estate mogul, reality TV star or politican? Think it over a bit while we show you a few more things you may not know about America's current president.
6. Favorite Books
When it comes to literature, Donald Trump has been pretty open about what he considers a good read. Reportedly, the number one book on POTUS's must-read list is none other than the Bible. Then, of course, there are his own books about business and financial success. Moving back into the realm of works some of you may have read, Trump also enjoys All Quiet on the Western Front and Sun Tzu's Art of War. Those were never on Oprah's must-read lists but they are well-known classics nonetheless.
7. Action Figures
The next time you're feeling nostalgic and decide to bust out those old GI Joe action figures, there may be a new addition to the battlefield. That's right, for $59.95 plus shipping you can add to your playtime with a custom made, talking Donald Trump action figure. We're not really sure which side he would fight for. After all, he'd probably fire Cobra Commander for being a constant failure. For the Joes, well action-figure Trump would likely tear down their base, re-build it in gold and rename the organization GI Trump.
8. Schooling
While most people would assume Donald Trump was educated through a series of posh institutions, not many know he actually went to a military academy. That's right, in the 1960s a much younger Trump spent time at the New York military academy. For five years he learned under the strict rules of the school. Attaining the rank of captain over a company of cadets, Trump was even voted "ladies man" of his class. Considering the fact that he landed Melania, we don't think we are in any position to disagree with that assessment.
9. Favorite foods
When it comes to favorite foods, Donald Trump isn't that far off for most Americans. Sure he has a lifestyle and bank balance that support a life of caviar and champagne but he prefers simpler things. On more than one occasion, Trump has been photographed chowing down fast foods from joints such as KFC and McDonald's. In fact, it's rumored he absolutely loves Big Macs but who doesn't? Away from the fast food things don't get that much healthier. Trump loves a good meatloaf and a simple staple is said to be bacon and eggs. Is anyone else getting really hungry?
10. Another Life
It's strange to think that Trump's path through life could have been so much different. You see, while in school, the Donald Trump apparently made a name for himself as a pretty good baseball player. How good? Well, the Phillies and Red Sox both sent scouts to check up on the star 1st baseman. However, when the time came to make a decision, Donald Trump chose college and real estate because, as he said, he wanted to "make more money". In that respect, we guess he made the right choice. So have you come to your final answer? If you had the same opportunities as Donald Trump would you settle on a career in real estate, reality TV or politics? Is it the money, power or responsibility that motivates your decision?
Source the richest youtube channel
10 MYSTERIOUS PHOTOS AROUND THE WORLD THAT CANNOT BE EXPLAINED
These are 10 mysterious photos that cannot be explained.
1. The Babushka Lady
During the 1963 assassination of president John F. Kennedy. A woman is recorded on film and in many photographs. She appears to be taking photos of her own while the others run for cover. The FBI searched for the woman but her identity and photos were never recovered.
2. The Hessdalen Lights
Throughout the years, vibrant lights are famed to show up and photos taken in Norway's Hessdalen Valley. Many studies have been conducted to define this phenomenon. Scientists are still at a loss to explain what it is about this valley that causes these lights.
3. The Hook Island Sea Monster
In 1964, a couple spotted a strange object calmly swimming toward them in the lagoon park island. It seemed to be a gigantic tadpole like creature, estimated about 80 feet long. After taking several photos the couple claims the creature opened its mouth before moving off.
4. The Solway Firth Spaceman
In 1964 a man photographing his daughter captured what appears to be an astronaut standing behind her. He claims no one else was present in the shot other than the girl. And even the Kodak company inspected the photo to confirm that it was not tampered with.
5. The S.S. Watertown Ghosts
In 1924 two sailors were killed in a freak accident and buried at sea. In the days following, the crew claimed to see two faces of these men following the ship. And the captain snapped this photo that allegedly shows their faces in the waves.
6. The Black Knight Satellite
In 1960 a dark, tumbling object was reported in Earth's orbit. At this time no satellite had been launched nor was identified as a man-made design. And since then, many other finds have been recorded of similar objects appearing in orbit before vanishing.
7. The Copper Falling Body
There is very little information available about this mysterious photograph. Other than, the copper family moves into their new home and takes a family photo. After developing, the picture shows a body falling from the ceiling.
8. The Geophone Rock Anomaly
This photo was taken by Apollo 17 during the last flight to the moon. The photo was listed as "blank" do to extreme light exposure but when the contrast was adjusted the photo revealed a pyramid-like structure.
9. The Goddard Squadron Photograph
In 1919 this photo was taken on the day of the funeral of squad number to be, Freddy Jackson. At the top of the photo, a face emerges behind one of the officers. Recognized by members of the squadron as Freddy Jackson.
10. The Mysterious Case of Elisa lam
In 2013, Elisa was found dead inside of the Hotel's rooftop water tank. Her death was ruled as accidental and no traces of drugs or alcohol found during her autopsy. Hotel surveillance footage just moments before her death show Elisa enter an elevator she begins behaving strangely, first stepping to the side as if avoiding someone and moving around in a very unnatural way before ultimately wandering off to her demise.
Source: The Richest Youtube Channel
30 WEIRD AND WONDERFUL NATURAL PHENOMENA FROM AROUND THE WORLD
10 ROADS AROUND THE WORLD YOU WOULD NEVER WANT TO DRIVE ON
18 WHAT TO KNOW AROUND THE WORLD
10 MYSTERIOUS PHOTOS AROUND THE WORLD
10 CURSED OBJECTS AROUND THE WORLD
67 POISONOUS PLANTS AROUND THE WORLD
10 DISCOVERIES THAT WILL SHAPE THE FUTURE
10 SUPER STRONG ANIMALS AROUND THE WORLD
20 CELEBS WHO DON'T LIKE TAYLOR SWIFT
10 FAMOUS PEOPLE WHO DON'T AGE
10 FAMOUS PEOPLE CAUGHT WITH FAKE BEHINDS
TOP 10 WORST MOVIE ENDINGS
6 STRANGEST KOREAN FOODS
URBAN LEGENDS AROUND THE WORLD
WOMAN CRIMINAL AROUND THE WORLD
Courting trouble
The impulsiveness and shallowness of America’s president threaten the economy as well as the rule of law
DONALD TRUMP rules over Washington as if he were a king and the White House his court. His displays of dominance, his need to be the centre of attention and his impetuousness have a whiff of Henry VIII about them. Fortified by his belief that his extraordinary route to power is proof of the collective mediocrity of Congress, the bureaucracy and the media, he attacks any person and any idea standing in his way. Just how much trouble that can cause was on sensational display this week, with his sacking of James Comey—only the second director of the FBI to have been kicked out. Mr Comey has made mistakes and Mr Trump was within his rights. But the presidenth as succeeded only in drawing attention to questions about his links to Russia and his contempt for the norms designed to hold would-be kings in check(see next leader). Just as dangerous, and no less important to ordinary Americans, however, is Mr Trump’s plan for the economy. It treats orthodoxy, accuracy and consistency as if they were simply to be negotiated away in a series of earth-shatteringdeals. Although Trumponomics could stoke a mini-boom, it, too, poses dangers to America and the world.
Trumponomics 101
In an interview with this newspaper, the president gave his most extensive description yet of what he wants for the economy. His target is to ensure that more Americans have well-paid jobs by raising the growth rate. His advisers talk of 3% GDP growth—a full percentage point higher than what most economists believe is today’s sustainable pace. In Mr Trump’s mind the most important path to better jobs and faster growth is through fairer trade deals. Though he claims he is a free-trader, provided the rules are fair, his outlook is squarely that of an economic nationalist. Trade is fair when trade flows are balanced. Firms should be rewarded for investing at home and punished for investing abroad.
The second and third strands of Trumponomics, tax cuts and deregulation, will encourage that domestic investment. Lower taxes and fewer rules will fire up entrepreneurs, leading to faster growth and better jobs. This is standard supply-side economics, but to see Trumponomics as a rehash of Republican orthodoxy is a mistake—and not only because its economic nationalism is a departure for a party that has championed free trade.
The real difference is that Trumponomics (unlike, say, Reaganomics) is not an economic doctrine at all. It is best seen as a set of proposals put together by businessmen courtiers for their king. Mr Trump has listened to scores of executives, but there are barely any economists in the White House. His approach to the economy is born of a mindset where deals have winners and losers and where canny negotiators confound abstract principles. Call it boardroom capitalism. That Trumponomics is a business wishlist helps explain why critics on the left have laid into its poor distributional consequences fiscal indiscipline and potential cronyism. And it makes clear why businessmen and investors have been enthusiastic, seeing it as a shot in the arm for those who take risks and seek profits. Stock markets are close to record highs and indices of business confidence have soared.
In the short term that confidence could prove self-fulfilling. America can bully Canada and Mexico, into renegotiating NAFTA. For all their sermons about fiscal prudence, Republicans in Congress are unlikely to deny Mr Trump a tax cut. Stimulus and rule-slashing may lead to faster growth. And with inflation still quiescent, the Federal Reserve might not choke that growth with sharply higher interest rates. Unleashing pent-up energy would be welcome, but Mr Trump’s agenda comes with two dangers. The economic assumptions implicit in it are internally inconsistent. And they are based on a picture of America’s economy that is decades out of date.
Contrary to the Trump team’s assertions, there is little evidence that either the global trading system or individual trade deals have been systematically biased against America. Instead, America’s trade deficit—Mr Trump’s main gauge of the unfairness of trade deals—is better understood as the gap between how much Americans save and how much they invest. The fine print of trade deals is all but irrelevant. Textbooks predict that Mr Trump’s plans to boost domestic investment will probably lead to larger trade deficits, as it did in the Reagan boom of the 1980s. If so, Mr Trump will either need to abandon his measure of fair trade or, more damagingly, try to curb deficits by using protectionist tariffs that will hurt growth and sow mistrust around the world.
A deeper problem is that Trumponomics draws on a blinkered view of America’s economy. Mr Trump and his advisers are obsessed with the effect of trade on manufacturing jobs, even though manufacturing employs only 8.5% of America’s workers and accounts for only 12% of GDP. Service industries barely seem to register. This blinds Trumponomics to today’s biggest economic worry: the turbulence being created by new technologies. Yet technology, not trade, is ravaging American retailing, an industry that employs more people than manufacturing. And economic nationalism will speed automation: firms unable to outsource jobs to Mexico will stay competitive by investing in machines at home. Productivity and profits may rise, but this may not help the less-skilled factory workers who Mr Trump claims are his priority.
The bite behind the bark
Trumponomics is a poor recipe for long-term prosperity. America will end up more indebted and more unequal. It will neglect the real issues, such as how to retrain hardworking people whose skills are becoming redundant. Worse, when the contradictions become apparent, Mr Trump’s economic nationalism may become fiercer, leading to backlashes in other countries—further stoking anger in America. Even if it produces a short-lived burst of growth, Trumponomics offers no lasting remedy for America’s economic ills. It may yet pave the way for some thing worse.
DONALD TRUMP rules over Washington as if he were a king and the White House his court. His displays of dominance, his need to be the centre of attention and his impetuousness have a whiff of Henry VIII about them. Fortified by his belief that his extraordinary route to power is proof of the collective mediocrity of Congress, the bureaucracy and the media, he attacks any person and any idea standing in his way. Just how much trouble that can cause was on sensational display this week, with his sacking of James Comey—only the second director of the FBI to have been kicked out. Mr Comey has made mistakes and Mr Trump was within his rights. But the presidenth as succeeded only in drawing attention to questions about his links to Russia and his contempt for the norms designed to hold would-be kings in check(see next leader). Just as dangerous, and no less important to ordinary Americans, however, is Mr Trump’s plan for the economy. It treats orthodoxy, accuracy and consistency as if they were simply to be negotiated away in a series of earth-shatteringdeals. Although Trumponomics could stoke a mini-boom, it, too, poses dangers to America and the world.
Trumponomics 101
In an interview with this newspaper, the president gave his most extensive description yet of what he wants for the economy. His target is to ensure that more Americans have well-paid jobs by raising the growth rate. His advisers talk of 3% GDP growth—a full percentage point higher than what most economists believe is today’s sustainable pace. In Mr Trump’s mind the most important path to better jobs and faster growth is through fairer trade deals. Though he claims he is a free-trader, provided the rules are fair, his outlook is squarely that of an economic nationalist. Trade is fair when trade flows are balanced. Firms should be rewarded for investing at home and punished for investing abroad.
The second and third strands of Trumponomics, tax cuts and deregulation, will encourage that domestic investment. Lower taxes and fewer rules will fire up entrepreneurs, leading to faster growth and better jobs. This is standard supply-side economics, but to see Trumponomics as a rehash of Republican orthodoxy is a mistake—and not only because its economic nationalism is a departure for a party that has championed free trade.
The real difference is that Trumponomics (unlike, say, Reaganomics) is not an economic doctrine at all. It is best seen as a set of proposals put together by businessmen courtiers for their king. Mr Trump has listened to scores of executives, but there are barely any economists in the White House. His approach to the economy is born of a mindset where deals have winners and losers and where canny negotiators confound abstract principles. Call it boardroom capitalism. That Trumponomics is a business wishlist helps explain why critics on the left have laid into its poor distributional consequences fiscal indiscipline and potential cronyism. And it makes clear why businessmen and investors have been enthusiastic, seeing it as a shot in the arm for those who take risks and seek profits. Stock markets are close to record highs and indices of business confidence have soared.
In the short term that confidence could prove self-fulfilling. America can bully Canada and Mexico, into renegotiating NAFTA. For all their sermons about fiscal prudence, Republicans in Congress are unlikely to deny Mr Trump a tax cut. Stimulus and rule-slashing may lead to faster growth. And with inflation still quiescent, the Federal Reserve might not choke that growth with sharply higher interest rates. Unleashing pent-up energy would be welcome, but Mr Trump’s agenda comes with two dangers. The economic assumptions implicit in it are internally inconsistent. And they are based on a picture of America’s economy that is decades out of date.
Contrary to the Trump team’s assertions, there is little evidence that either the global trading system or individual trade deals have been systematically biased against America. Instead, America’s trade deficit—Mr Trump’s main gauge of the unfairness of trade deals—is better understood as the gap between how much Americans save and how much they invest. The fine print of trade deals is all but irrelevant. Textbooks predict that Mr Trump’s plans to boost domestic investment will probably lead to larger trade deficits, as it did in the Reagan boom of the 1980s. If so, Mr Trump will either need to abandon his measure of fair trade or, more damagingly, try to curb deficits by using protectionist tariffs that will hurt growth and sow mistrust around the world.
A deeper problem is that Trumponomics draws on a blinkered view of America’s economy. Mr Trump and his advisers are obsessed with the effect of trade on manufacturing jobs, even though manufacturing employs only 8.5% of America’s workers and accounts for only 12% of GDP. Service industries barely seem to register. This blinds Trumponomics to today’s biggest economic worry: the turbulence being created by new technologies. Yet technology, not trade, is ravaging American retailing, an industry that employs more people than manufacturing. And economic nationalism will speed automation: firms unable to outsource jobs to Mexico will stay competitive by investing in machines at home. Productivity and profits may rise, but this may not help the less-skilled factory workers who Mr Trump claims are his priority.
The bite behind the bark
Trumponomics is a poor recipe for long-term prosperity. America will end up more indebted and more unequal. It will neglect the real issues, such as how to retrain hardworking people whose skills are becoming redundant. Worse, when the contradictions become apparent, Mr Trump’s economic nationalism may become fiercer, leading to backlashes in other countries—further stoking anger in America. Even if it produces a short-lived burst of growth, Trumponomics offers no lasting remedy for America’s economic ills. It may yet pave the way for some thing worse.
Annuities Meaning
Finding Travel Insurance For Cancer Diagnosis
How Does the Stock Market Work
Top 10 Ways to Make Money Online
10 Legit Ways to Make Money and Passive Income Online
10 Ways To Cut Your Health Care Costs
The Ultimate Assurance of Buy-sell Agreements
5 Tips to Prepare for Your Property Settlement
8 Habits of Wealthy and Successful People
Why Millennials Choose to Buy Home
7 Tips Every Homeowner Need to Know About Insurance
8 Tip on Homeownner Insurance
10 Question You Should Ask Mortgage Lenders
How Much is My Car Accident Settlement Worth
200 Business Movement News
150 Financial Tip You Should Know
Essential List of Mortgage Application Document
Prepare Yourself Before Investing in Stock
Shopping is the Right Way Without Debt
Factors Affecting Home Loan Rates
Using Credit Cards With No Debt
Plan for Business Loans
Step Before Buying Insurance
Choosing Life Insurance
How to Get Cheap Car Insurance
If in Debt With a Credit Card
Type of Insurance
How to Request a Claim
Deposit With Banks or Take Out Insurance
Why Do We Need Life Insurance
Insure Assets and Liabilities How is It Different
Contract for Buying a House
Happy if in Debt
Can Not Pay the Car Installments
16 Most Important Car Insurance Terms
Want to Use Urgent Money Where Should I Request a Loan
Save Money in Stocks
How to Have a Home
Plan Before Retirement
Plan for Repayment Carefully
50 Financial Movement You Should Know
How You Can Hit the Heights While Plunging to the Depths
10 Ways to Cut Your Health Care Costs
Tips for Handling an Employee's Departure
How to Get Your Product Onto Retailers' Shelves
A List of Pointers for Low-cost Promotion
A Field Guide to Office Colleagues
How to Get Your Tqm Training on Track
4 Excuses to Use Unconscious Credit Cards
Be Careful Terms of Insurance Agreement
Changing a Home to Pay Off Debt
Want Money to Invest
Credit Card Addiction Symptoms
How to Manage Credit Card Debt if Lose Job
What is Private Fund
Loans for Education
10 Things That Lead to Poverty
Do Not Overlook Insurance
There Are Also Saving on Debt
10 Things You Need to Do Before Retiring
Seed Funds for the Smallest Start-ups
Health Insurance Managed Care Can Cost More
States Go for Bold Changes
Outside Directors: How They Help You
Helping Your Children Plan for a Distant Future
The Tax Advantages of a Home Office
Job Skills Have Declined Firms Say
American Get More for Their Money
Boost Your Problem-solving Power
Finding the Essence of Good Sales People
Suggestions on Selling Your Service Firm
Warming to the Idea of Customer Feedback
It's Timely to Consider Still Another Inequality
More Tax Cuts Coming
Vice Presiddency Becoming More Attractive Goal
Turn Anger Into an Asset
Making the Most of Trade Shows
Ideas for Making the Most of Time on the Road
The Benefits of Smart Inventory Management
Policies That Protect a Company's Good Name
Market-neutral Funds May Offer Solace if Stocks Tank
Bargains in Business Insurance
Bills Would Affect the Hiring of Skilled Foreign Workers
The Ups and Downs of a Postal Rate Proposal
Locking on to Teamwork
Nurturing Part Timers to Be Entrepreneurs
Holding Things Together When Selling A Location
Knowing When Cut The Cord
A New Selling Approach Makes Fashion Sense
Too Much Team Harmony Can Signal Trouble
Oiling The Wheels Of Consumer Satisfaction
Networking 101: Seeing And Being Seen
Nuts About Snack Food
A Jet-Powered Takeoff
Grooming For Success
Switching to Self Insurance
Promoting A World Ethical Standard
Help Wanted Desperately
How to Get a Yes From Your Banker
Lawmakers Have Their Work Cut Out For Them
Making The Climb Onto Store Shelves
Hammering Home Performance Incentives
Have You Seen Your Banker For Your Annual Checkup
Protect Your Company's Proprietary Information
Adding Some Byte To Retirement Plans
From The Ground Up
Pluses And Pitfalls In Voice Mail
Lawmakers Have Their Work Cut Out For Them
Making The Climb Onto Store Shelves
Market Bulls Battle A Case Of Nerves
Check The Fine Print In Picking A 401 (k) Plan
5 Pitfalls Make Your Work Inefficient
Wrong Stock Investing
What is a non life insurance
5 things to do if you want to succeed
5 steps Emphasize the use of credit cards correctly
Unemployment can be saved by doing 5 steps
Obstacles that prevent from saving
Want to be rich do these 3 things
New to the stock market
Change the attitude of saving with 3 steps
Home loan Not difficult anymore
Start investing is not difficult
Come check the finance health
Live 3 items for solving the poor
5 wrong financial views Risking destruction
4 things that should not be overlooked for Save money
Wise financial planning techniques for the family
5 mistakes checklist when buying insurance
5 reduce the risk of doing business
3 risk levels that must be known before investing
Advantages and disadvantages of Requesting a loan
Saving The US Economy
What price loyalty at Vodafone
Alphabet soup and economic recovery
Our growing nostalgia for commuting
Financial alchemy
Personal credit
4 principles of financial success
Buying housing is not a big deal anymore
Essential insurance
How to teach your child to be wise With the use of money
6 Collection techniques That a salary man needs to do
How to choose a credit card that best suits your needs
Beware The Scammers out to empty your bank account
Avoid The Traps Set By Estate Agents
10 Ways To Cut Your Health Care Costs
What is the stock market
Adjust the idea of adding value to your business
How ready are you for down
10 techniques to use money
10 Ideas To Conquer Stocks
10 Year Retirement Plan
Factors That Make Your Finances Worse
Eliminate 5 Weaknesses to Create Success in SME
Retirement Investment Plan Longevity Simpler
5 Secrets to Financial Freedom
How to Invest Without Losing
Do We Need Too Much Money
8 Alarms When Finances Are in Trouble
How to Use Money Saving Techniques
Credit Card Debts Not Difficult Anymore
Long Term Savings
Financial Matters Young People Should Know
The 5 Phases of Money Flow
Youth Fever for Cryptocurrencies
Economy Versus Demagoguery
Resistance to Organizational Change
What is Production budget
What are the Goods in Commission
What are Returns on Purchases
What are Pre Operating Expenses
What is a Technical Organization
10 Types of Credit Securities
5 Main Types of Business Organization
What Is a Business Advisor
What is the Personification of Accounts
What Is Expense policy
6 Stages of Administrative Organization
Social Responsibility of Institutions
What Is Business Environment
Forms of Organization of Economic Entities
Top 9 Functions of a Salesperson
7 Duties of an Accounting Clerk
7 Most Outstanding Comptroller Functions
What Is Bookkeeping
What Are Taxes Payable
Armand Feigenbaum Biography
What Is Zero Base Budgeting
What Is Chart of Accounts
What Is Sensitivity Analysis
What Is Purchasing Department
Origin of Business Management
What Is Administrative Organization
What is Cost Accounting
What Is Organizational Structure
What Is Nominal Salary
What Is Centralization In Administration
What Is Payable Documents
What Is Indirect Labor
What Is Going Business
What Is Commercial Paper
What Is Delivery In Business
What Is Equivalent Units
What Is Income Centers
Subscribe to:
Posts (Atom)
Beginner's Cryptocurrencies
Track Cryptocurrencies
Make Money i.e.
Get Cryptocurrencies
Initial Coin Offering
Asset Invest Cryptocurrencies
Drawbacks Cryptocurrencies
Future Cryptocurrency
Cryptocurrency FAQ
Performing Cryptocurrencies
Best Altcoins 2025
Bitcoin Overview 2025
Ethereum Overview 2025
Solana Overview 2025
Ripple Overview 2025
Cardano Overview 2025
Polygon Overview 2025
Chainlink Overview 2025
Polkadot Overview 2025
Avalanche Overview 2025
Helium Overview 2025
homeowners insurance
home insurance
state farm car insurance
comprehensive insurance
commercial insurance
cheap auto insurance
cheap health insurance
indemnity
car insurance companies
progressive quote
usaa car insurance
insurance near me
term life insurance
auto insurance near me
state farm car insurance
comprehensive insurance
progressive home insurance
house insurance
progressive renters insurance
state farm insurance quote
metlife auto insurance
best insurance companies
progressive auto insurance quote
cheap car insurance quotes
allstate car insurance
rental car insurance
car insurance online
liberty mutual car insurance
cheap car insurance near me
best auto insurance
home insurance companies
usaa home insurance
list of car insurance companies
full coverage insurance
allstate insurance near me
cheap insurance quotes
national insurance
progressive home insurance
house insurance
health insurance quotes
ameritas dental
state farm renters insurance
medicare supplement plans
progressive renters insurance
aetna providers
title insurance
sr22 insurance
medicare advantage plans
aetna health insurance
ambetter insurance
umr insurance
massmutual 401k
private health insurance
assurant renters insurance
assurant insurance
dental insurance plans
state farm insurance quote
health insurance plans
workers compensation insurance
geha dental
metlife auto insurance
boat insurance
aarp insurance
costco insurance
flood insurance
best insurance companies
cheap car insurance quotes
best travel insurance
insurance agents near me
car insurance
car insurance quotes
auto insurance
auto insurance quotes
long term care insurance
auto insurance companies
home insurance quotes
cheap car insurance quotes
affordable car insurance
professional liability insurance
cheap car insurance near me
small business insurance
vehicle insurance
best auto insurance
full coverage insurance
motorcycle insurance quote
homeowners insurance quote
errors and omissions insurance
general liability insurance
best renters insurance
cheap home insurance
cheap insurance near me
cheap full coverage insurance
cheap life insurance