10 อันดับสัตว์มีพิษ
อันดับที่ 10 ทากทะเล
ทะเลเป็นบ้านของสัตว์ต่างๆ ที่มีสารเคมีเป็นอาวุธ บางชนิดใช้มันเพื่อฆ่าเหยื่อ แต่บางชนิดใช้มันเพื่อขับไล่นักล่า สัตว์ชนิดนี้ไม่ได้สร้างพิษของมันเอง แต่มันใช้สารพิษจากดอกไม้ทะเล ดอกไม้ทะลมีสารพิษนิวโรท็อกซิน (Neurotoxin) อันทรงพลัง ซึ่งเก็บอยู่ในเซลล์เข็มจิ๋วจำนวนมาก เข็มพิษเหล่านี้สามารถเผยโฉมในเสี้ยววินาที แต่มีสัตว์ชนิดหนึ่งที่สามารถปลดอาวุธดอกไม้ทะเลนั่นก็คือทากทะเล ทากทะเลก็เหมือนหอยทากทะเล แต่ไม่มีเปลือกมาปกป้องตนเอง ดังนั้นสัตว์ชนิดนี้จึงต้องหาวิธีอื่นในการระวังตนเอง ทากทะเลไม่เพียงแค่กินดอกไม้ทะเล พวกมันยังขโมยเซลล์เข็มของดอกไม้ทะเลและเก็บเอาไว้ในปลายอวัยวะที่ยื่นออกมาจากปลายหลังของมัน นักวิทยาศาสตร์ไม่รู้จริงๆ ว่าทากทะเลสามารถกลืนเซลล์เข็มของดอกไม้ทะเลโดยไม่เป็นอันตรายได้อย่างไร มีข้อสันนิษฐานว่า ในระบบการย่อยของมันทำให้สารพิษมีความเป็นกลางเมื่อย่อยแล้วเซลล์เข็มเหล่านี้ก็เดินทางไปสู่ส่วนปลายที่หลังของมัน ทากทะเลไม่สนเรื่องการพรางตัว มันแสดงความเป็นพิษของมันด้วยสีที่ฉูดฉาดและลวดลายที่เด่นชัด
อันดับที่ 9 กิ้งกือ ( Millipede)
มันเป็นสัตว์ที่รู้เรื่องแก๊สพิษเป็นอย่างดี ผู้คนส่วนใหญ่คิดว่ากิ้งกือเป็นสัตว์กินพืชทีไม่มีอันตราย แต่ถ้ามันถูกคุกคามมันสามารถปล่อยกลิ่นที่แม้แต่นักล่าที่หิวโหยที่สุดยังต้องอุดจมูก ระบบป้องกันทางเคมีของกิ้งกือไม่ได้มาจากเท้าของมัน และทั้งๆที่มันมีเท้าถึง 750 ข้าง กิ้งกือก็ไม่สามารถวิ่งได้เร็วนัก ถ้ามันถูกคุกคามมันจะขดตัวม้วนเป็นก้อนกลม และปล่อยแก๊สพิษออกมาจากช่องข้างลำตัว กิ้งกือหนึ่งตัวสามารถผลิตแก๊สพิษที่เป็นสารไฮโดรเจนไซยาไนด์ได้เกือบ 1 ออนซ์ นั่นมากพอที่จะฆ่าสัตว์ที่มีขนาดเท่าๆกับหนูได้อย่างสบาย ที่แปลกก็คือตัวแบล็ก ลีเมอร์ (Black Lemur) แห่งมาดากัสการ์ พัฒนาจมูกให้สามารถป้องกันพิษของกิ้งกือ ก่อนอื่นมันจะแหย่กิ้งกือให้ปล่อยพิษออกมา จากนั้นก็จะจับกิ้งกือถูเข้ากับตัวเองไปมา มันค้นพบว่ากลิ่นของกิ้งกือช่วยป้องกันยุงได้ดี และพิษของกิ้งกือมีผลเพียงเล็กน้อยกับตัวแบล็ก ลีเมอร์หรือมนุษย์
อย่างไรก็ตามมนุษย์คนนึงค้นพบวิธีประหลาดที่ใช้สารเคมีจากแมลงชนิดหนึ่ง นับหลายร้อยปีมาแล้ว มนุษย์เคยได้ยินเรื่องพลังของยาโป๊วที่ชื่อว่า แมลงวันสเปน ตัวยาเกิดจากแมลงปีกแข็งก่อกวนแมลงวันสเปนแล้วมันจะหลั่งของเหลวมีพิษคล้ายกับเนย ซึ่งถ้ากินเข้าไปจะเพิ่มการหมุนเวียนของโลหิต และกระตุ้นความต้องการทางเพศ นั่นเป็นสาเหตุที่มาคีส์ เด เซด (Marquis De Sade) ผสมแมลงวันสเปนไปในของหวานให้กับแขกของเขา โชคร้ายที่พวกเขาทานมากเกินไป ดังนั้นแทนที่จะรู้สึกถึงอารมณ์แห่งรัก พวกเขากลับล้มป่วย มาคีส์ถูกจองจำและถูกตัดสินในฐานะนักโทษอุกฉกรรจ์ ไม่มีใครใช้สารเคมีจากกิ้งกือในการทำเสน่ห์ อาจเป็นเพราะการดมไฮโดรเจนไซยาไนด์อาจทำลายอารมณ์โรแมนติกใดๆ ก็ได้
อันดับที่ 8 ผีเสื้อโมนาร์ช (Monarch Butterfly)
เมื่อคุณมีพิษเต็มตัวก็ไม่จำเป็นต้องหลบซ่อนอีกแล้ว นั่นเป็นสาเหตุที่สัตว์ในอันดับที่ 8 มีสีส้มดำฉูดฉาด นี่คือผีเสื้อโมนาร์ช (Monarch) ทุกฤดูหนาวของภูเขาใน Central Mexico คุณสามารถพบเห็นผีเสื้อโมนาร์ช 20,000 ตัวบนกิ่งไม้ และออกันอยู่ในบริเวณนี้กว่า 220 ล้านตัว พวกมันปลอดภัยอย่างแท้จริง เพราะไม่มีสัตว์ตัวไหนกล้าแตะต้องพวกมัน ก็เพราะต้นไม้ที่ชื่อ มิลค์วีด (Milkweed) มีสารพิษที่ชื่ออัลคาลอยด์ที่มีพิษร้ายแรงขนาดปริมาณแค่ 1 ออนซ์ ก็สามารถฆ่าแกะได้ ผีเสื้อโมนาร์ชตัวเมียอาศัยต้นมิลค์วีดเหล่านี้เพื่อเลี้ยงดูลูกของมัน ดักแด้ของโมนาร์ชกินมิลค์วีดกันอย่างเดียว พวกมันจำเป็นต้องเพิ่มน้ำหนักจากแรกเกิดอีก 15 เท่า พวกมันถึงจะพร้อมกลายเป็นผีเสื้อ พวกมันจะสะสมอัลคาลอยด์ในเนื้อเยื่อให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะมันต้องกินยาพิษที่ช่วยปกป้องพวกมันจากนักล่าในช่วงที่พวกมันมีชีวิต ผีเสื้อโมนาร์ชเป็นสัตว์พิษในอันดับที่ 8 เพราะการกลืนอัลคาลอยด์จะทำให้คลื่นไส้ อาเจียน และหัวใจหยุดเต้นได้
ผีเสื้อโมนาร์ชไม่ใช่สัตว์ชนิดเดียวที่ใช้สารพิษจากพืช มนุษย์ก็เช่นกัน ผู้ปกครองของโรมโบราณทราบดีถึงการใช้ต้นไม้มีพิษ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต้นเบลลาดอนนา (Belladonna) หรือ เดธลี่ ไนท์เชด (Deathly Nightshade) ที่เต็มไปด้วยอัลคาลอยด์ที่เต็มไปด้วยอะโทรปิน (Atropine) ซึ่งเป็นสารพิษ ในปริมาณที่พอเพียงสิ่งนี้อาจทำให้หัวใจล้มเหลว หนึ่งในนักโทษที่อื้อฉาวในประวัติศาสตร์ ลิเวียพระชายาของจักรพรรดิ ออกุสตัส (Augustus) บางคนเชื่อว่าพระนางใช้เบลลาดอนนา เพื่อวางยาพิษเหยื่อที่ไม่ได้คาดคิดรวมถึงพระสวามีของพระนาง
เมื่อตัวเต็มวัยของผีเสื้อโมนาร์ชออกจากดักแด้ของมัน พิษของตัวเต็มวัยก็พอๆ กับในตัวดักแด้เพราะมันสะสมอัลคาลอยด์อยู่ในเกล็ดบนปีกของมัน อย่างไรก็ตามมีการศึกษาว่าพิษของผีเสื้อโมนาร์ชนั้นลดลงตามอายุของมัน ก็เพราะเวลาที่ล่วงเลยเกล็ดบนปีกของมันก็เริ่มจะร่วงหล่น
อันดับที่ 7 แมลงปีกแข็งบอมบาร์ดิเออ (Bombardier)
บางครั้งคุณไม่ต้องการห้องทดลองที่ใช้ผสมยาพิษที่ร้ายแรงที่สุดในโลก สัตว์ในอันดับ 7 ของเราสามารถผลิตระเบิดในบั้นท้ายของมันเอง มันคือแมลงปีกแข็งบอมบาร์ดิเออ (Bombardier) มันไม่รอให้นักล่ามาลิ้มรสเรือนร่างที่มีพิษของมัน เมื่อแมลงบอมบาร์ดิเออเจอปัญหา มันปกป้องตัวเองด้วยการพ่นสารเคมีที่แสบร้อนจากด้านหลังของมันเอง ต่อมที่อยู่ด้านหลังของแมลงบอมบาร์ดิเออ ผลิตไฮโดรควิโนน สารเคมีมีพิษที่เราใช้เหมือนกับน้ำยาล้างฟิล์ม ต่อมอีกต่อมหนึ่งสร้างสารไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ สารเคมีแบบเดียวกับที่เราใช้เป็นเชื้อเพลิงจรวด เมื่อสารเคมีทั้งสองอย่างถูกรวมเข้าไว้ด้วยกัน ปฏิกิริยาความร้อนมีมากถึง 212 องศาเซลเซียส ละอองพิษที่แสบร้อนถูกดันออกไปจากหัวฉีดเล็กๆ ด้วยแรงระเบิดที่รวดเร็วสุดๆ มันสามารถฉีดพิษได้ถึง 700 ครั้งต่อวินาที
อันดับที่ 6 คางคกเคน (Cane Toad)
สัตว์ตัวนี้ผลิตพิษที่ทรงพลังพอที่จะทำให้หัวใจหยุดเต้น คางคกเคนอาจดูอ่อนแอแต่มันเต็มไปด้วยพิษ ต่อมที่ผลิตสารพิษอยู่ในผิวหนัง แต่พวกมันมารวมตัวกันอยู่ในบริเวณตรงหัวไหล่ ต่อมพวกนี้อยู่ในตำแหน่งที่ดีเยี่ยมเพื่อให้พิษเข้าไปในปากของนักล่าได้รวดเร็ว มันเป็นสัตว์ที่รักสงบและปล่อยสารพิษเมื่อรู้สึกว่าตัวเองอยู่ในอันตรายเท่านั้น ไม่เคยมีใครตายเพราะคางคกเคนในออสเตรเลีย แต่มีครั้งหนึ่งที่คางคกมีส่วนในการฆาตกรรม เมื่อนักโบราณคดีขุดพบที่ตั้งมายันโบราณในอเมริกากลาง เขาพบกระดูกของคางคกหลายพันตัว มีข้อสันนิษฐานว่า นักบวชมายันรีดพิษของคางคกเพื่อใช้มันในพิธีบูชายัญ มันคือยาวิเศษในพิธีบวงสรวงของพวกเขา เมื่อเสพยาพิษนี้เข้าไป เหยื่อบูชายัญจะไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ และถูกสังเวยให้กับเทพเจ้าที่น่ากลัว
อันดับที่ 5 งูเห่า (Cobra)
สัตว์ชนิดนี้พบวิธีพิเศษเพื่อใช้พิษในการหลบหนีปัญหา เลื้อยมาสู่อันดับที่ 5 นั่นก็คืองูเห่า พิษงูเห่าน้อยกว่า 1/10 ช้อนชา ก็สามารถฆ่ามนุษย์ได้แล้ว และมันสามารถใช้พิษของมันโดยไม่ต้องกัดเหยื่อ ในการขู่ของมัน มันสามารถพ่นพิษออกไปได้ไกล 11 ฟุต อย่างแม่นยำ การวิจัยระบุว่างูเห่าจะเล็งไปที่เนื้อเยื่อดวงตาที่มีความรู้สึกไว ที่ซึ่งพิษดูดซึมอย่างรวดเร็วและสามารถทำให้ตาบอดถาวร ได้มีการจำลองติดดวงตาไว้ที่หุ่น และแม้ว่าจะเปลี่ยนตำแหน่งไปที่ไหน งูเห่าก็จะพ่นพิษไปที่ดวงตาทุกครั้ง ความลับในความแม่นยำของงูเห่าอยู่ในโครงสร้างของเขี้ยว ในงูส่วนใหญ่พิษเดินทางผ่านช่องโพรงภายในฟันด้วยแรงดันต่ำ แต่ในงูเห่าพ่นพิษ ช่องทางเปิดในมุมที่เหมาะสมที่ปลายเขี้ยว พ่นพิษออกไปด้วยแรงดัน ก็เหมือนกับงูทุกชนิดพิษของงูเห่าประกอบด้วยโปรตีนและเอนไซม์ที่แตกต่างกันหลายร้อยชนิด ขณะที่งูเห่าพ่นพิษใช้มันเพื่อให้นักล่าถอยห่าง
อันดับที่ 4 นกพิทุย (Pitohui Bird)
นี่คือสัตว์ที่นักวิทยาศาสตร์ไม่รู้ว่ามีพิษจนกระทั่งปี 1989 ก่อนหน้านั้นไม่มีใครรู้ว่าหนึ่งในนกกว่า 9,000 ชนิดจะมีพิษ จนกระทั่งนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งใช้ตาข่ายจับนกในปาปัวนิวกินีเพื่อศึกษา หลังการตรวจสอบนกที่มีชื่อว่า พิทุย (Pitohui) นักวิจัยเอานิ้วเข้าไปแหย่ในปาก เขาไม่รู้ว่าเขาถูกวางยาจนกระทั่งริมฝีปากและลิ้นของเขาเริ่มชา เขาเก็บตัวอย่างจากนกเพื่อส่งกลับสู่ห้องทดลอง การทดสอบยืนยันว่าผิวหนังและขนของนกพิทุยมีพิษที่ชื่อว่า เบทรัคโคท็อกซิน (Batrachotoxin) สามารถฆ่าหนูในไม่กี่นาที และยิ่งกว่านั้นยิ่งพิษแรงแค่ไหนนกก็จะยิ่งมีสีสดเท่านั้น มีการค้นพบว่านกพิทุยมีพิษน้อยที่สุดในสามพันธุ์ นกพิทุยสลับสีมีพิษปานกลาง และนกพิทุยที่มีแผงคอสีสดมีพิษมากที่สุด เชื่อกันว่าพิษของนกพิทุยอาจช่วยป้องกันปรสิตและป้องกันตัวจากนักล่า พิาไม่แรงพอที่จะฆ่าคนแต่มันอธิบายได้ว่าทำไมชาวปาปัวนิวกินีถึงตั้งฉายานกพิทุยว่านกสวะ พวกเขารู้ดีว่าถ้ากินนกพิทุย กลิ่นปากของพวกเขาจะเหม็นสุดๆ เมื่อนักวิจัยไปเยี่ยมนักธรรมชาติวิทยาชาวนิวกินี เพื่อค้นหาว่านกมีพิษได้อย่างไร พวกเขาร่วมกันวิจัยค้นพบว่า แมลงปีกแข็งที่นกพิทุยกินเข้าไปนั้นมี เบทรัคโคท็อกซิน (Batrachotoxin) เช่นกัน ดูเหมอืนว่านกพิทุยเป็นดั่งคำฝรั่งที่ว่า You are wat you eat จริงๆ และเป็นเรื่องน่าแปลกที่ไม่เฉพาะนกพิทุยที่มีพิษชนิดนี้เท่านั้น เราจะพบพิษนี้ได้ในสัตว์พิษอันดับต่อไป
อันดับที่ 3 หมึกบลูริงก์ (Blue Ring Octopus)
มันเป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่ในออสเตรเลีย และขนาดเพียงแค่ลูกกอล์ฟก็สามารถฆ่าคนได้ถึง 10 คน มันก็คือหมึกบลูริงก์ (Blue Ring Octopus) ชื่อของมันมาจากวงแหวนสีฟ้าสดใสของมัน และจะเปล่งแสงเตือนเฉพาะเวลาที่มันถูกคุกคาม มันมีสารพิษที่ชื่อนิวโรท็อกซิน (Neurotoxin) ที่ร้ายแรงยิ่งกว่าไซยาไนด์ หมึกใช้สารพิษเพื่อป้องกันตัวเองและจู่โจมเหยื่อ หมึกชนิดนี้สร้างพิษของมันโดยต่อมน้ำลายที่ถูกดัดแปลงสองต่อม แต่ละต่อมใหญ่เท่ากับสมองของมัน ขณะที่มันล่าเหยื่อ อาจจะขาดความแม่นยำอย่างงูเห่าพ่นพิษ แต่มันสามารถพ่นน้ำลายพิษหรือฉีดพิษเข้าไปจากการกัดโดยจงอยปากอันทรงพลังของมัน สารพิษจะค้นหาเซลล์ประสาทและปิดกั้นการควบคุมแรงดันไฟฟ้าที่ควบคุมการทำงานของร่างกาย ในชั่วเวลาแค่ไม่กี่วินาที เหยื่อเป็นอัมพาตทันที ระบบหายใจเริ่มหยุดทำงาน หมึกบลูริงก์ก็จะกินอาหารโดยไม่มีการต่อสู้ มันไม่ได้สร้างพิษของมันเอง นักวิจัยค้นพบว่ามันเป็นพวกแบ็คทีเรียที่ผลิตนิวโรท็อกซินที่ร้ายแรง แบคทีเรียเหล่านี้อาศัยอยู่ในต่อมน้ำลายของหมึก
อันดับที่ 2 ปลาปักเป้า (Puffer Fish)
มันไม่ได้ดูอ่อนแอเหมือนอย่างที่เห็น อาวุธของมันคือสารพิษเตตร้าด็อกซิน (Tetrodotoxin) หนึ่งในสารพิษที่ร้ายแรงที่สุดในโลก เหมือนกับหมึกบลูริงค์ปลาปักเป้ามีแบ็คทีเรียในร่างกายที่ผลิตสาร เตตร้าด็อกซิน ว่ากันว่าร้ายแรงกว่าไซยาไนด์ 275 เท่า และทำให้เส้นประสาทของระบบหายใจเป็นอัมพาตไปเลย ปลาปักเป้าสะสมเตตร้าดอกวินไว้ในตัวของพวกมันได้ เพราะมันพัฒนาระบบประสาทให้มีภูมิต้านพิษ อย่างไรก็ตามมนุษย์ไม่มีภูมิต้านทานพิษชนิดนี้อย่างแน่นอน การกลืนชิ้นเนื้อปลาปักเป้าที่มีพิษเพียงขนาดเพียงหัวเข็มหมุด สามารถทำให้ถึงตายได้ แต่นั่นไม่ได้ทำให้บางคนหยุดยั้งที่จะกินมัน ในญี่ปุ่นปลาปักเป้าเรียกว่า ฟุกุ เนื้อปลาปักเป้าเป็นอาหารชั้นหนึ่งที่ต้องเตรียมโดยผู้เชี่ยวชาญ พิษเตตร้าด็อกซินมีอยู่หนาแน่นในรังไข่ ลำไส้ และตับปลา ดังนั้นอวัยวะเหล่านี้ต้องขจัดออกอย่างระมัดระวัง และเนื้อต้องล้างอย่างทั่วถึงก่อนการเสิร์ฟ
อันดับที่ 1 กบลูกดอกพิษ (Poison Dart Frog)
สัตว์ที่มีพิษมากที่สุดในโลกอยู่ลึกไปในป่าฝนของอเมซอน โชคดีที่หาตัวพวกมันได้ง่าย มันคือกบลูกดอกพิษ พวกมันมีขนาดเพียงแค่ราวหัวแม่มือเท่านั้น และกบเพียงตัวเดียวมีพิษในผิวหนังที่จะฆ่าคนได้ถึง 50 คน สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำเหล่านี้ได้ชื่อของพวกมันก็เพราะชาวพื้นเมืองทาสารหลั่งจากผิวหนังของกบชนิดนี้ไว้ที่ปลายลูกดอกที่ใช้ล่าสัตว์ พิษรุนแรงกว่าเตตร้าด็อกซินที่พบในปลาปักเป้าถึงสิบเท่า และทำงานโดยการปิดกั้นการส่งผ่านของการกระตุ้นของเส้นประสาท และที่น่าแปลกก็คือพิษที่อยู่ในผิวหนังของพวกมันคือสาร เบทรัคโคท็อกซิน (Batrachotoxin) สารตัวเดียวกับที่พบในนกพิทุย (Pitohui) ในปาปัวนิวกินีที่อยู่ไกลออกไป แต่สารนี้พบในนกพิทุยในปริมาณที่น้อยกว่ามาก เป็นเรื่องแปลกว่า กบลูกดอกพิษและนกพิทุยเกี่ยวข้องกันได้อย่างไร จนเมื่อเร็วๆ นี้ นักวิทยาศาสตร์ก็ค้นพบว่า แมลงปีกแข็งที่นกพิทุยกินในปาปัวนิวกินี ก็พบในโคลัมเบียที่ซึ่งกบอาศัยอยู่เช่นเดียวกัน
*** นิวโรทอกซิน (Neurotoxin) เป็นกลุ่มสารพิษที่มีผลต่อระบบประสาท ในสัตว์ทะเลที่มีพิษส่วนใหญ่จะเป็นสารพิษในกลุ่มนี้ ยกตัวอย่างเช่นสารพิษ Tetrodotoxin ที่พบในปลาปักเป้าและหมึกบลูริงก์ ***
แหล่งรวมบทความสารคดีประวัติศาสตร์ บทความสารคดีจักรวาลและดาวเคราะห์ บทความสารคดีสงคราม บทความสารคดีภัยธรรมชาติ บทความสารคดีชีวิตสัตว์ บทความสารคดีอาวุธทางการทหาร บทความสารคดีการจัดอันดับ บทความสารคดีวิทยาศาสตร์ บทความสัมภาษณ์คนดัง บทสนทนาปัญหาเศรษฐกิจ บทสนทนาประเด็นข่าวร้อน เรื่องราวน่ารู้ ความรู้ทั่วไป สังคม เศรษฐกิจ การเมือง ไลฟ์สไตล์ สุขภาพ ผู้หญิง ความงาม แม่และเด็ก สัตว์เลี้ยง อาหาร ร้านอาหาร เกมส์ เทคโนโลยี มาดูกันได้ที่ จัดอันดับ
เล่าเรื่องสยองขวัญ แดนพิศวง
เล่าเรื่องสยองขวัญ แดนพิศวง
เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2530 ซึ่งตอนนั้นผมเป็นทหารตระเวนชายแดน ตอนนั้นกองทหารของผมได้เข้าไปทำภารกิจบางอย่างในป่าแล้วหลงเข้าไปในป่าลึก หาทางออกมาไม่ได้ ติดอยู่ในป่าหลายวันด้วยกัน เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นเมื่อตอนเย็นของวันที่สามที่กองทหารของผมหลงอยู่ในป่าในขณะที่พวกเราทุกคนกำลังทำเปลนอนในป่า ได้ทำเลที่ดีเหมือนกันครับ อยู่ใกล้กับธารน้ำเล็กๆ ในขณะนั่นผมเกิดปวดท้องเบาขึ้นมาก็เลยเดินไปหาที่ทำธุระส่วนตัว ออกห่างไกลมาจากกองทหารมาประมาสัก 100 เมตร ระหว่างที่ผมกำลังทำธุระส่วนตัวอยู่นั้น หูของผมก็บังเอิญเกิดได้ยินเสียงแปลกๆ บนต้นไม้ เสียงนั้นฟังเหมือนกับกำลังมีคนคุยกันอยู่บนต้นไม้ เป็นเสียงผู้หญิงกับเสียงผู้ชาย ในครั้งแรกที่ได้ยินนั้นผมคิดว่ามันต้องเป็นเสียงของขเาศึกแน่ๆ ผมจึงชักมีดพกออกมาแล้วนั่งซุ่มอยู่ใต้ต้นไม้และแอบฟัง แต่พอพยายามจับใจความฟัง ก็ไม่รู้ว่าพวกมันคุยอะไรกันอยู่ เป็นภาษาที่ไม่คุ้นเลย แต่ก็มีเสียงผู้หญิงอยู่ด้วย ในใจก็พลางคิดว่าถ้าเป็นผู้หญิงก็ไม่น่าจะใช่ข้าศึก เสียงของคนสองคนที่คุยกันนั้น ถึงแม้จะเบา แต่ก็พอฟังออก แต่มันจับใจความไม่ได้ว่าเป็นภาษาอะไรกันแน่ ฟังดูเหมือนกับเป็นบทสวดมนต์ของอะไรสักอย่างมากกว่า
ในระหว่างที่แอบฟังอยู่นั้น จู่ๆ ผมก็โดนทากกัดเข้าที่คอ ผมก็เลยสะดุ้ง หันไปเหยียบกิ่งไม้เสียงดัง แกร๊ก แล้วเสียงบนต้นไม้นั้นก็ค่อยๆ เงียบลง ครู่เดียวเท่านั้นก็มีเศษไม้หล่นลงมาที่พื้น ผมจึงรีบชักปืนพกออกมา แล้วหันกระบอกปืนยิงใส่ห้านัดด้วยกัน ในขณะที่ผมยิงปืนออกไปนั้น ผมได้ยินเสียงผู้หญิงกรีดร้องออกมา แล้วก็เสียงกรีดร้องนั้นดังกว่าเสียงปืนของผมอีกนะครับ สิ่งที่ผมเห็นตอนนั้นก็คือ ผมเห็นขาของผู้หญิงค่อยๆ กลายเป็นขาของค้างคาว
ชั่วอึดใจนั้นทหารทั้งกองร้อยที่ได้ยินเสียงปืนของผม ก็กรูวิ่งเข้ามาตรงจุดที่ผมยืนอยู่ ทหารหลายนายสาดไฟฉายไปที่ต้นไม้ต้นนั้นเห็นเป็นค้างคาวตัวใหญ่ประมาณสัก 3 เมตรได้ บินออกไปจากต้นไม้ต้นนั้น แต่ก็เห็นกันไม่ชัดนักนะครับ แต่กะขนาดคร่าวๆ ก็ประมาณนั้นได้ บินออกไปทั้งหมดสองตัว ทหารหลายนายเดินเข้าไปสำรวจใต้ต้นไม้นั้น เห็นเลือดครับ เลือดที่ผมยิงโดน เป็นสีดำๆ กลิ่นเหม็นสาบมาก หยดไหลตามต้นไม้ต้นนั้นลงมา คนที่เห็นก็รู้สึกตกใจกับเหตุการณ์นี้ จู่ๆ ก็มีนายทหารคนหนึ่งพูดออกมาว่า มันน่าจะเป็นค้างคาวผี ผมจึงหันไปบอกว่า ผมมั่นใจมากว่าผมยิงโดนจังๆ ถึงห้านัด แต่ว่ามันไม่ตาย ทุกคนได้แต่นิ่งเงียบ ผมจึงรีบสั่งให้ทุกคนกลับที่พักโดยเร็วที่สุด
พอถึงที่พักผมรีบเรียกนายทหารคนนั้น คนที่พูดว่าค้างคาวผีนั่นแหละครับ เข้ามาคุยกันเป็นการส่วนตัวคำแรกที่พูดก็คือ ผมถามเค้าว่า นายรู้ได้อย่างไรว่ามันคือค้างคาวผี นายทหารคนนั้นก็บอกกับผมว่า ผมรู้ครับเพราะว่าปู่เคยเป็นพรานเดินป่าลึกมาก่อน แล้วเขาก็ได้เล่าว่า มันเป็นค้างคาวของไอ้พวกอวิชชา ที่ปลุกเสกให้สัตว์ลงคน ที่คนจะกลายร่างเป็นสัตว์ร้าย เอาไว้กำจัดศัตรูที่เข้ามาในเขตของมัน คล้ายๆ กับเสือสมิงนั่นแหละครับ วิชานี้จะใช้ภาษาที่ติดต่อกับโลกของวิญญาณโดยตรงเป็นภาษากูโบ๊ต นายทหารคนนั้นยังได้บอกอีกว่า มันจะไม่หยุดจนกว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่หลงเข้าไปในเขตแดน้ของมันจะตายลงทั้งหมด ผมจึงถามกลับไปว่า มันจะทำอย่างนั้นเพื่ออะไร นายทหารคนนั้นตอบกลับมาว่า เพื่อจะเอาดวงวิญญาณของคนที่มันฆ่าไปเป็นบริวารของมัน ผมจึงถามว่าแล้วเราต้องทำยังไง จึงจะหนีออกไปจากเขตแดนของมันได้ นายทหารคนนั้นกลับบอกว่าไม่รู้ หลังจากนั้นผมจึงเริ่มสงสัยตั้งแต่ทีแรกแล้วว่าทำไมในป่าลึกแบบนี้ ป่าทึบแบบนี้กลับไม่มีเสียงสัตว์ป่าเลย แม่แต่เสียงจั๊กจั่นยังไม่มีเลย ผมจึงจัดการสั่งให้ทหารอยู่เวรเฝ้ายามกัน ครั้งและเจ็ดคน
เวลาผ่านไปจนถึงประมาณสามทุ่ม ผมก็ได้ยินเสียงแปลกๆ นั้นอีกครั้ง แต่ว่าครั้งนี้อยู่ในบริเวณที่พวกเราพักกันอยู่ และในขณะนั้นพระจันทร์สว่างพอดี พอที่จะมองเห็นได้ ผมเห็นร่างผู้หญิงไม่ใส่เสื้อผ้ายืนอยู่บนยอดของต้นไม้ต้นหนึ่ง ไกลออกไปจากที่พักประมาณสักห้าสิบเมตรเท่านั้น ผมสะกิดจ่าคนที่ยืนอยู่ข้างๆให้เขาดู จ่าคนนั้นก็เห็นเหมือนที่ผมเห็น แต่ว่าจู่ๆ ร่างของผู้หญิงคนนั้นก็ลอยขึ้น กลายเป็นตัวอะไรก็ไม่รู้ บินหลบๆปหลังต้นไม้หนาทึบ สิ่งที่ผมคิดได้ในตอนนั้นก็คืองานเข้าแล้ว ผมรีบให้ทหารทุกนายเตรียมอาวุธปืนให้พร้อม แล้วผมก็เดินตรงรี่เข้าไปหานายทหารคนที่พูดถึงค้างคาวผีนั่นแหละครับ ผมถามออกไปว่า ถ้าเกิดเรายิงมัน มันจะตายมั้ย นายทหารตอบกลับมาว่า ไม่น่าจะตายครับ อาจจะได้แค่สกัดไว้ชั่วคราว ผมจึงถามกลับไปว่าแล้วมีวิธีที่จะทำให้มันตายได้มั้ย นายทหารคนนั้นนึกอยู่ชั่วครู่ก็บอกออกมาว่า มีอยู่วิธีหนึ่ง นั่นก็คือใช้ไม้ไผ่ชุบน้ำมะพร้าวแล้วแทงทะลุที่หัวใจของมัน หลังจากที่ผมได้ฟังแล้ว ก็รู้สึกมีความหวังเล็กๆ ผมจึงรีบหันไปสั่งนายทหารจำนวนหนึ่งให้รีบๆปตัดไม้ไผ่ และก็หามะพร้าวมาด้วย
หลังจากที่ได้ของทั้งสองอย่างมาครบแล้วนั้น ผมก็ต้องมีเรื่องประหลาดใจอีกนั่นก็คือ มะพร้าวทุกลูกที่หามา ไม่มีน้ำอยู่ข้างในเลยครับสักลูกเดียว ทำได้ก็แค่เหลาไม้ไผ่ให้มันแหลมเอาไว้แล้วติดตัวเอาไว้คนละอัน ผลัดกันเฝ้ายามจนถึงเช้า ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น เวลาผ่านไปจนพระอาทิตย์เริ่มสาดแสง พวกเราทุกคนก็ได้รีบเก็บของทุกอย่างและพากันเดินทางเพื่อออกจากป่านี้โดยเร็วที่สุด แต่ก็เหมือนกับว่ายิ่งเดินก็ยิ่งเหมือนหลงป่าลึกเข้าไปอีก เสบียงอาหารต่างๆ ก็ใกล้จะหมดแล้ว พวกเราทุกคนเหนื่อยกันมากครับ พอพระอาทิตย์ตรงกับศรีษะก็นั่งพักกันชั่วครู่หนึ่ง แต่ผมไม่พัก เพื่อเดินดูรอบๆ บริเวณนั้น แล้วก็ไปเจอคนสองคน เป็นคนแก่ๆ พกปืนลูกซองห้อยเอาไว้ที่หลัง สองคนนั้นพอมองเห็นพวกเราก็รีบเดินตรงเข้ามาหา นายทหารทุกนายเห็นดังนั้นก็รีบยกปืนขึ้นประทับหันหน้าไปทางชายแก่ทั้งสองคนนั้น แต่ว่าชายแก่หนึ่งในสองคนนั้นก็รีบพูดขึ้นมาว่าไม่ต้องกลัว ข้ามาช่วยพวกเอ็งออกจากป่านี้ พวกเอ็งหลงทางเข้ามาในเขตต้องห้ามกันแล้วรู้ตัวมั้ย
ผมได้ยินดังนั้นก็สั่งให้ทหารทุกนายลดปืนลง แล้วผมก็เดินตรงเข้าไปคุยกับพรานแก่ทั้งสองท่านนี้ ถามพวกเขาว่าหาพวกผมเจอได้ยังไง แล้วที่นี่คือที่ไหน พรานหนึ่งในสองคนนั้นก็ตอบกลับมาว่า พวกเอ็งได้เจอค้างคาวผีแล้วหรือยัง ผมก็ตอบกลับไปว่าเจอแล้วเมื่อวานนี้ ผมยิงปืนสั้นใส่มันไปทั้งหมดห้านัด แต่มันไม่เป็นอะไรเลย ชายแก่ได้ยินดังนั้นก็หัวเราะขึ้นมาแล้วก็พูดออกมาว่ากระสุนธรรมดายิงมันไม่ตายหรอก ต้องเป็นกระสุนกระดูกผีเจ็ดป่าช้าเท่านั้น ผมจึงถามพรานแก่ทั้งสองว่า พวกลุงเข้ามาทำอะไรในป่าลึกแห่งนี้ ลุงบอกว่าก็เข้ามาพาพวกเอ็งออกไปแล้วก็จะมาฆ่าไอ้ค้างคาวผีนั้น พรานสองคนนั้นยังบอกอีกว่า พวกเอ็งไม่ต้องรู้หรอกว่าพวกข้าเป็นใครมาจากไหน รู้เอาไว้แค่ว่ามาช่วยพวกเอ็งก็พอแล้ว
ผมจึงตอบกลับไปว่าครับ แล้วถามต่อว่าค้างคาวผีมันมาจากไหน มันมายังไงล่ะครับ พรานเล่าให้ฟังว่า มันเป็นค้างคาวผีของไอ้พวกอวิชชาที่ทำผิดกฎข้อห้ามกลายเป็นปีศาจร้ายสิงร่างคน ทำให้คนที่โดนมันสิงเป็นร่างประทับของมัน แล้วพรานก็ถามกลับมาว่า เอ็งได้เห็นค้างคาวทั้งหมดกี่ตัว ผมตอบไปว่าสามตัวครับ พรานก็ทำท่าตกใจนิดๆ แล้วก็พูดขึ้นว่า พวกเอ็งก็เก่งนะที่รอดชีวิตกันมาได้ ไอ้ค้างคาวผีพวกนี้มันร้ายกว่าเสือสมิงหรือซางอีกนะ ผมถามลุงพรานว่า แล้วพวกผมจะออกไปจากป่านี้ได้ยังไง ลุงเขาก็บอกว่ายังออกไม่ได้ถ้ายังไม่ได้ฆ่าไอ้ค้างคาวผีพวกนั้น มันลวงตาพวกเอ็งให้หาทางออกไม่เจอ แล้วพวกเอ็งได้เห็นร่างตอนที่มันเป็นคนกันหรือเปล่า ผมตอบว่า เห็นครับเป็นผู้หญิงเปลือยกาย แต่เห็นแค่คนเดียว อีกสองตัวผมไม่เห็นตอนที่มันแปลงเป็นคน ลุงพรานบอกว่า งั้นก็ต้องรีบแล้ว ให้หาพื้นที่โล่งๆ ใกล้ๆ ธารน้ำไว้เป็นที่พักก่อนสำหรับคืนนี้
ผมก็คิดว่าไหนๆ ก็ไม่มีอะไรจะเสียแล้วก็ลองทำตามอย่างที่ลุงพรานพูดดู หลังจากจัดเตรียมทุกอย่างเรียบร้อย พรานทั้งสองท่านนั้นก็เอาสายสิญจน์มาล้อมรอบพื้นที่ที่ได้เตรียมเอาไว้ แล้วก็นั่งบริกรรมคาถาอะไรสักอย่างนึง พรานอีกท่านหนึ่งก็หันมาบอกว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อย่าออกไปจากบริเวณนี้เด็ดขาด ผมจึงถามพรานท่านนั้นว่า ไอ้พวกค้างคาวผีพวกนี้มันมีกันกี่ตัว ลุงพรานก็บอกว่ามีประมาณสามถึงสี่ตัว แต่ว่ามีบริวารที่เป็นผีป่าอีกเยอะ มันชอบที่จะกินหัวใจของคน ยิ่งกินยิ่งแกร่ง มันเคยไปกินคนในหมู่บ้านหลายหมู่บ้าน จนเกือบจะเป็นหมู่บ้านร้างทั้งหมดในป่านี้ ในป่าแห่งนี้เมื่อก่อนมันเป็นป่าลับแล เป็นที่อยู่ของหญิงสาวและกินรี เป็นป่าที่หายสาบสูญไปบนโลกนานมากแล้ว ที่พวกเอ็งทั้งหมดหลงเข้ามาได้ก็เป็นเพราะว่า ดวงชะตาของพวกเอ็งทุกคนถึงฆาตกันหมดแล้ว แต่ว่ายังไม่ตายเท่านั้นเอง ยังดีนะที่พวกเขาสองคนมาเจแพวกเอ็งซะก่อน ไม่อย่างนั้นตายทั้งหมดนี้แน่นอน ผมจึงถามกลับไปว่า แล้วลุงพรานทั้งสองคนเข้ามาในป่าแห่งนี้ได้อย่างไร เขาก็ตอบกลับมาว่า ข้าสองคนเป็นคนมีวิชานะ เลยเดินทางเข้าออกได้
ในขณะที่กำลังนั่งคุยกับพรานอยู่นั้น จู่ๆ ก็เกิดมีลมพายุพัดมาจากไหนก็ไม่รู้ แรงมากๆ ครับ แล้วก็มีเสียงผู้หญิงหัวเราะดังมาจากบนฟ้า เห็นเป็นเงาของสัตว์รูปร่างคล้ายๆ ค้างคาวบินผ่านไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งตัวมันใหญ่กว่าที่ผมเห็นครั้งแรกมาก ดูจากลักษณะการบินในขณะที่กางปีกออกมานั้น น่าจะประมาณสักห้าเมตรได้เลย ตัวมันใหญ่จริงๆ และระหว่างนั้นเอง พรานคนที่นั่งบริกรรมคาถาอยู่ได้หยิบเอามีดหมอออกมาจากกระเป๋าแล้วก็ปักลงที่ดิน พอปักลงไปเท่านั้นแหลัก็ได้ยินเสียงผู้หญิงกรีดร้องออกมาดังมากๆ เสียงน่ากลัวมากจริงๆ พอดึงมีดขึ้นมาก็มีเลือดไหลออกมาจากรอยตรงที่ปักลงไปด้วย ทหารทุกนายต่างเสียขวัญเพราะกลัวกันมากๆ หลายๆ คนตาค้างในสิ่งที่เห็นอยู่ต่อหน้า เลือดที่ไหลออกมาจากแผ่นดิน ลักษณะนั้นคล้ายกับเลือดตรงที่ต้นไม้ที่ยิงค้างคาวผีในครั้งแรกนั่นล่ะครับ กลิ่นสาบสางของเลือดนั้นแรงมาก ทันใดนั้นพรานท่านนั้นก็เอาน้ำมนต์เทลงไปตรงกองเลือดนั้นเอง เลือดนั้นกลายเป็นไอดำๆ รอยที่มีดปักก็หายไป ทันใดนั้นบริเวณรอบๆ ก็เห็นเป็นดวงตาสีแดงหลายร้อยดวง
ลุงพรานบอกให้เอากระสุนของทุกคนมากองรวมกัน แล้วเอาน้ำมนต์พรมลงมาที่ลูกกระสุน แล้วก็เอากระสุนพวกนี้บรรจุลงปืนของทหารแต่ละนาย และเน้นย้ำให้ทุกคนอย่าออกนอกบริเวณที่กั้นเอาไว้แล้ว และกำชับว่าไม่ต้องไปกลัว ถ้าตัวไหนมันขยับก็ยิงได้เลย ทหารหลายๆ นายที่อยู่ริมๆ บริเวณนั้น พอเห็นดวงตาสีแดงขยับก็กระหน่ำยิงไม่ยั้ง หลังจากยิงออกไปกลับมีเสียงกรีดร้องของคน ดังโหยหวนออกมารอบตัว ทั้งเสียงผู้หญิงและผู้ชาย ทำให้ทุกคนขนลุกกันไปหมด ในขณะนั้นผมตกใจจนตัวสั่น แต่ลุงพรานก็ตะโกนบอกเรื่อยๆ ว่าพวกเอ็งอย่าไปกลัวมัน ถ้ารอดออกไปจากคืนนี้ได้พวกเอ็งก็จะได้กลับบ้านแน่นอน ทหารหลายนายยิงออกไปอย่างบ้าคลั่ง จนแสงสีแดงจากแววตาเหล่านั้นค่อยๆ หายไป ทีนี้ผมจึงตั้งสติ ค่อยๆ มองออกไปรอบๆ ตัว เห็นเงาดำๆ วิ่งไปวิ่งมา มองออกไปไกลหน่อยก็เห็นผู้หญิงยืนอยู่บนยอดไม้ไกลออกไปไม่น่าจะเกินร้อยเมตร ที่เห็นได้ชัดก็เพราะว่าแถวนี้มันเป็นที่โล่งและแสงจันทร์ก็สว่างมาก แต่ว่าครั้งนี้ไม่ใช่เห็นแค่ผู้หญิงคนเดียวแล้วนะครับ มีผู้ชายอีกสองคนยืนอยู่ข้างๆ บนยอดไม้ใกล้ๆ กัน แต่ก็ไม่แน่ใจว่าใช่ผู้ชายหรือเปล่า เพราะว่ามันเป็นเงาๆ เลยเห็นไม่ค่อยชัดนัก มันค่อยๆ กระโดดมาพร้อมๆ กันทั้งสามตัว แล้วก็กลายร่างเป็นค้างคาวตัวเล็กสองตัว ตัวใหญ่ 1 ตัว ตัวเล็กน่าจะกว้างประมาณสามเมตรได้ ส่วนตัวใหญ่ปีกมันกว้างมากครับน่าจะสักห้าเมตร พวกมันบินตรงมาทางพวกเรา
ในขณะนั้นพรานชราที่นั่งอยู่ข้างหน้าสุดได้หยิบปืนสั้นยิงออกไปหนึ่งนัดในขณะที่มันกำลังบินเข้ามา แล้วก็มีเสียงผู้ชายครับ เสียงผู้ชายร้องด้วยความเจ็บปวด แล้วค้างคาวตัวหนึ่งก็ร่วงหล่นลงมาในวงสายสิญจน์มันเป็นค้างคาวตัวที่เห็นในรูปที่แนบมาให้นั่นแหละครับ แต่อีกสองตัวมันบินหนีไปได้ และมีเสียงของผู้หญิงตะโกนกลับออกมาว่า กูไม่ปล่อยพวกมึงเอาไว้แน่ มันเป็นเสียงที่แปลกประหลาดมากๆ ครับ คล้ายกับเสียงของคนหลายๆ คนพูดออกมาจากจุดๆ เดียว แล้วก็บินหายไปทางไหนก็ไม่รู้ หลังจากนั้น พรานท่านหนึ่งก็หยิบมีดหมอเดินตรงไปที่ซากค้างคาว เอามีดควักหัวใจมันออกมาแล้วก็สับให้มันขาดครึ่ง เอาใส่ไหสองไหไปฝังในดินในทิศตะวันออกหนึ่งไห ทิศตะวันตกหนึ่งไห แล้วก็ตรึงซากค้างคาวไว้เพื่อปลดปล่อยดวงวิญญาณที่มันฆ่า แต่เราก็ฆ่ามันได้แค่ตัวเดียวเท่านั้น แล้วลุงพรานก็บอกว่า พวกเอ็งทุกคนไม่ต้องกลัว คืนนี้พวกเอ็งนอนพักกันได้แล้ว พรุ่งนี้ข้าสองคนจะทำพิธีเปิดป่าให้พวกเอ็งกลับบ้านกัน
ผมก็สั่งให้ทหารทุกนายไปนอนพักกัน ระหว่างนั้นผมก็ถามนายพรานทั้งสองท่านว่าแล้วไอ้พวกค้างคาวผีมันจะไม่กลับมาอีกเหรอครับ ลุงพรานก็บอกว่าคืนนี้มันไม่มาหรอก แต่พรุ่งนี้มันมาแน่นอน ลุงพรานยังกำชับอีกว่า พรุ่งนี้พวกเอ็งทุกคนต้องกลับให้ถึงค่าย ไม่อย่างนั้นจะตายกันทั้งหมดนี่แหละ และยังกำชับด้วยอีกว่า พรุ่งนี้ข้าสองคนคงนำทางพวกเอ็งกลับไปไม่ได้ เพราะว่าต้องอยู่ที่นี่อีก แต่ให้พวกเอ็งทุกคนมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออก ที่สำคัญไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ห้ามให้ใครหันหลังกลับมามองเด็ดขาด
พอรุ่งเช้า แสงพระอาทิตย์ส่อง ลุงพรานก็ได้ทำพิธีเบิกทาง แล้วผมก็สั่งให้นายทหารทุกคนจัดขบวน แล้วให้นายทหารทุกคนปลดสัมภาระทุกอย่างทิ้งให้หมดทั้งปืนทั้งกระเป๋า แล้วก็ให้เสบียงที่เหลือกับพรานทั้งสองท่านเอาไว้ แล้วทั้งหมดก็รีบเดินมาทางทิศตะวันออก สั่งกำชับทุกฝีเก้าว่า อย่าหันไปมองข้างหลัง เดินไปก็ตะโกนกันไปว่า อย่าหันไปมองข้างหลัง พอเดินผ่านออกไปได้เจอถนน พวกเราทุกคนก็วิ่งไปที่ถนน ต่างคนต่างดีใจ กระโดดกอดกันทั้งน้ำตา รออยู่สักพัก รถทหารของค่ายพวกผมก็ผ่านมาพอดี พวกเราทุกคนก็ได้กลับค่ายกัน
พอกลับมาถึงค่าย ผมก็นำเรื่องนี้ไปเล่าให้นายพลฟังเป็นการส่วนตัว นายพลท่านถามขึ้นมาว่า กองทหารหายไปไหนกันมาตั้งเก้าวัน ผมแปลกใจมากครับเพราะเท่าที่ผมเห็นพระอาทิตย์ขึ้นลงนับได้ก็แค่ห้าวันเอง แล้วนายพลก็ถามว่าเจอพรานแก่ทั้งสองคนด้วยใช่มั้ยถึงออกมาได้ ผมตกใจมากในคำพูดของท่านนายพล แต่ท่านก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ เรื่องราวก็มีอยู่เท่านี้ล่ะครับ มีสิ่งหนึ่งที่อธิบายไม่ได้อีกเรื่องก็คือพรานทั้งสองท่านนั้นเป็นคนหรือไม่
สยองขวัญ
จัดอันดับ
เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2530 ซึ่งตอนนั้นผมเป็นทหารตระเวนชายแดน ตอนนั้นกองทหารของผมได้เข้าไปทำภารกิจบางอย่างในป่าแล้วหลงเข้าไปในป่าลึก หาทางออกมาไม่ได้ ติดอยู่ในป่าหลายวันด้วยกัน เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นเมื่อตอนเย็นของวันที่สามที่กองทหารของผมหลงอยู่ในป่าในขณะที่พวกเราทุกคนกำลังทำเปลนอนในป่า ได้ทำเลที่ดีเหมือนกันครับ อยู่ใกล้กับธารน้ำเล็กๆ ในขณะนั่นผมเกิดปวดท้องเบาขึ้นมาก็เลยเดินไปหาที่ทำธุระส่วนตัว ออกห่างไกลมาจากกองทหารมาประมาสัก 100 เมตร ระหว่างที่ผมกำลังทำธุระส่วนตัวอยู่นั้น หูของผมก็บังเอิญเกิดได้ยินเสียงแปลกๆ บนต้นไม้ เสียงนั้นฟังเหมือนกับกำลังมีคนคุยกันอยู่บนต้นไม้ เป็นเสียงผู้หญิงกับเสียงผู้ชาย ในครั้งแรกที่ได้ยินนั้นผมคิดว่ามันต้องเป็นเสียงของขเาศึกแน่ๆ ผมจึงชักมีดพกออกมาแล้วนั่งซุ่มอยู่ใต้ต้นไม้และแอบฟัง แต่พอพยายามจับใจความฟัง ก็ไม่รู้ว่าพวกมันคุยอะไรกันอยู่ เป็นภาษาที่ไม่คุ้นเลย แต่ก็มีเสียงผู้หญิงอยู่ด้วย ในใจก็พลางคิดว่าถ้าเป็นผู้หญิงก็ไม่น่าจะใช่ข้าศึก เสียงของคนสองคนที่คุยกันนั้น ถึงแม้จะเบา แต่ก็พอฟังออก แต่มันจับใจความไม่ได้ว่าเป็นภาษาอะไรกันแน่ ฟังดูเหมือนกับเป็นบทสวดมนต์ของอะไรสักอย่างมากกว่า
ในระหว่างที่แอบฟังอยู่นั้น จู่ๆ ผมก็โดนทากกัดเข้าที่คอ ผมก็เลยสะดุ้ง หันไปเหยียบกิ่งไม้เสียงดัง แกร๊ก แล้วเสียงบนต้นไม้นั้นก็ค่อยๆ เงียบลง ครู่เดียวเท่านั้นก็มีเศษไม้หล่นลงมาที่พื้น ผมจึงรีบชักปืนพกออกมา แล้วหันกระบอกปืนยิงใส่ห้านัดด้วยกัน ในขณะที่ผมยิงปืนออกไปนั้น ผมได้ยินเสียงผู้หญิงกรีดร้องออกมา แล้วก็เสียงกรีดร้องนั้นดังกว่าเสียงปืนของผมอีกนะครับ สิ่งที่ผมเห็นตอนนั้นก็คือ ผมเห็นขาของผู้หญิงค่อยๆ กลายเป็นขาของค้างคาว
ชั่วอึดใจนั้นทหารทั้งกองร้อยที่ได้ยินเสียงปืนของผม ก็กรูวิ่งเข้ามาตรงจุดที่ผมยืนอยู่ ทหารหลายนายสาดไฟฉายไปที่ต้นไม้ต้นนั้นเห็นเป็นค้างคาวตัวใหญ่ประมาณสัก 3 เมตรได้ บินออกไปจากต้นไม้ต้นนั้น แต่ก็เห็นกันไม่ชัดนักนะครับ แต่กะขนาดคร่าวๆ ก็ประมาณนั้นได้ บินออกไปทั้งหมดสองตัว ทหารหลายนายเดินเข้าไปสำรวจใต้ต้นไม้นั้น เห็นเลือดครับ เลือดที่ผมยิงโดน เป็นสีดำๆ กลิ่นเหม็นสาบมาก หยดไหลตามต้นไม้ต้นนั้นลงมา คนที่เห็นก็รู้สึกตกใจกับเหตุการณ์นี้ จู่ๆ ก็มีนายทหารคนหนึ่งพูดออกมาว่า มันน่าจะเป็นค้างคาวผี ผมจึงหันไปบอกว่า ผมมั่นใจมากว่าผมยิงโดนจังๆ ถึงห้านัด แต่ว่ามันไม่ตาย ทุกคนได้แต่นิ่งเงียบ ผมจึงรีบสั่งให้ทุกคนกลับที่พักโดยเร็วที่สุด
พอถึงที่พักผมรีบเรียกนายทหารคนนั้น คนที่พูดว่าค้างคาวผีนั่นแหละครับ เข้ามาคุยกันเป็นการส่วนตัวคำแรกที่พูดก็คือ ผมถามเค้าว่า นายรู้ได้อย่างไรว่ามันคือค้างคาวผี นายทหารคนนั้นก็บอกกับผมว่า ผมรู้ครับเพราะว่าปู่เคยเป็นพรานเดินป่าลึกมาก่อน แล้วเขาก็ได้เล่าว่า มันเป็นค้างคาวของไอ้พวกอวิชชา ที่ปลุกเสกให้สัตว์ลงคน ที่คนจะกลายร่างเป็นสัตว์ร้าย เอาไว้กำจัดศัตรูที่เข้ามาในเขตของมัน คล้ายๆ กับเสือสมิงนั่นแหละครับ วิชานี้จะใช้ภาษาที่ติดต่อกับโลกของวิญญาณโดยตรงเป็นภาษากูโบ๊ต นายทหารคนนั้นยังได้บอกอีกว่า มันจะไม่หยุดจนกว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่หลงเข้าไปในเขตแดน้ของมันจะตายลงทั้งหมด ผมจึงถามกลับไปว่า มันจะทำอย่างนั้นเพื่ออะไร นายทหารคนนั้นตอบกลับมาว่า เพื่อจะเอาดวงวิญญาณของคนที่มันฆ่าไปเป็นบริวารของมัน ผมจึงถามว่าแล้วเราต้องทำยังไง จึงจะหนีออกไปจากเขตแดนของมันได้ นายทหารคนนั้นกลับบอกว่าไม่รู้ หลังจากนั้นผมจึงเริ่มสงสัยตั้งแต่ทีแรกแล้วว่าทำไมในป่าลึกแบบนี้ ป่าทึบแบบนี้กลับไม่มีเสียงสัตว์ป่าเลย แม่แต่เสียงจั๊กจั่นยังไม่มีเลย ผมจึงจัดการสั่งให้ทหารอยู่เวรเฝ้ายามกัน ครั้งและเจ็ดคน
เวลาผ่านไปจนถึงประมาณสามทุ่ม ผมก็ได้ยินเสียงแปลกๆ นั้นอีกครั้ง แต่ว่าครั้งนี้อยู่ในบริเวณที่พวกเราพักกันอยู่ และในขณะนั้นพระจันทร์สว่างพอดี พอที่จะมองเห็นได้ ผมเห็นร่างผู้หญิงไม่ใส่เสื้อผ้ายืนอยู่บนยอดของต้นไม้ต้นหนึ่ง ไกลออกไปจากที่พักประมาณสักห้าสิบเมตรเท่านั้น ผมสะกิดจ่าคนที่ยืนอยู่ข้างๆให้เขาดู จ่าคนนั้นก็เห็นเหมือนที่ผมเห็น แต่ว่าจู่ๆ ร่างของผู้หญิงคนนั้นก็ลอยขึ้น กลายเป็นตัวอะไรก็ไม่รู้ บินหลบๆปหลังต้นไม้หนาทึบ สิ่งที่ผมคิดได้ในตอนนั้นก็คืองานเข้าแล้ว ผมรีบให้ทหารทุกนายเตรียมอาวุธปืนให้พร้อม แล้วผมก็เดินตรงรี่เข้าไปหานายทหารคนที่พูดถึงค้างคาวผีนั่นแหละครับ ผมถามออกไปว่า ถ้าเกิดเรายิงมัน มันจะตายมั้ย นายทหารตอบกลับมาว่า ไม่น่าจะตายครับ อาจจะได้แค่สกัดไว้ชั่วคราว ผมจึงถามกลับไปว่าแล้วมีวิธีที่จะทำให้มันตายได้มั้ย นายทหารคนนั้นนึกอยู่ชั่วครู่ก็บอกออกมาว่า มีอยู่วิธีหนึ่ง นั่นก็คือใช้ไม้ไผ่ชุบน้ำมะพร้าวแล้วแทงทะลุที่หัวใจของมัน หลังจากที่ผมได้ฟังแล้ว ก็รู้สึกมีความหวังเล็กๆ ผมจึงรีบหันไปสั่งนายทหารจำนวนหนึ่งให้รีบๆปตัดไม้ไผ่ และก็หามะพร้าวมาด้วย
หลังจากที่ได้ของทั้งสองอย่างมาครบแล้วนั้น ผมก็ต้องมีเรื่องประหลาดใจอีกนั่นก็คือ มะพร้าวทุกลูกที่หามา ไม่มีน้ำอยู่ข้างในเลยครับสักลูกเดียว ทำได้ก็แค่เหลาไม้ไผ่ให้มันแหลมเอาไว้แล้วติดตัวเอาไว้คนละอัน ผลัดกันเฝ้ายามจนถึงเช้า ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น เวลาผ่านไปจนพระอาทิตย์เริ่มสาดแสง พวกเราทุกคนก็ได้รีบเก็บของทุกอย่างและพากันเดินทางเพื่อออกจากป่านี้โดยเร็วที่สุด แต่ก็เหมือนกับว่ายิ่งเดินก็ยิ่งเหมือนหลงป่าลึกเข้าไปอีก เสบียงอาหารต่างๆ ก็ใกล้จะหมดแล้ว พวกเราทุกคนเหนื่อยกันมากครับ พอพระอาทิตย์ตรงกับศรีษะก็นั่งพักกันชั่วครู่หนึ่ง แต่ผมไม่พัก เพื่อเดินดูรอบๆ บริเวณนั้น แล้วก็ไปเจอคนสองคน เป็นคนแก่ๆ พกปืนลูกซองห้อยเอาไว้ที่หลัง สองคนนั้นพอมองเห็นพวกเราก็รีบเดินตรงเข้ามาหา นายทหารทุกนายเห็นดังนั้นก็รีบยกปืนขึ้นประทับหันหน้าไปทางชายแก่ทั้งสองคนนั้น แต่ว่าชายแก่หนึ่งในสองคนนั้นก็รีบพูดขึ้นมาว่าไม่ต้องกลัว ข้ามาช่วยพวกเอ็งออกจากป่านี้ พวกเอ็งหลงทางเข้ามาในเขตต้องห้ามกันแล้วรู้ตัวมั้ย
ผมได้ยินดังนั้นก็สั่งให้ทหารทุกนายลดปืนลง แล้วผมก็เดินตรงเข้าไปคุยกับพรานแก่ทั้งสองท่านนี้ ถามพวกเขาว่าหาพวกผมเจอได้ยังไง แล้วที่นี่คือที่ไหน พรานหนึ่งในสองคนนั้นก็ตอบกลับมาว่า พวกเอ็งได้เจอค้างคาวผีแล้วหรือยัง ผมก็ตอบกลับไปว่าเจอแล้วเมื่อวานนี้ ผมยิงปืนสั้นใส่มันไปทั้งหมดห้านัด แต่มันไม่เป็นอะไรเลย ชายแก่ได้ยินดังนั้นก็หัวเราะขึ้นมาแล้วก็พูดออกมาว่ากระสุนธรรมดายิงมันไม่ตายหรอก ต้องเป็นกระสุนกระดูกผีเจ็ดป่าช้าเท่านั้น ผมจึงถามพรานแก่ทั้งสองว่า พวกลุงเข้ามาทำอะไรในป่าลึกแห่งนี้ ลุงบอกว่าก็เข้ามาพาพวกเอ็งออกไปแล้วก็จะมาฆ่าไอ้ค้างคาวผีนั้น พรานสองคนนั้นยังบอกอีกว่า พวกเอ็งไม่ต้องรู้หรอกว่าพวกข้าเป็นใครมาจากไหน รู้เอาไว้แค่ว่ามาช่วยพวกเอ็งก็พอแล้ว
ผมจึงตอบกลับไปว่าครับ แล้วถามต่อว่าค้างคาวผีมันมาจากไหน มันมายังไงล่ะครับ พรานเล่าให้ฟังว่า มันเป็นค้างคาวผีของไอ้พวกอวิชชาที่ทำผิดกฎข้อห้ามกลายเป็นปีศาจร้ายสิงร่างคน ทำให้คนที่โดนมันสิงเป็นร่างประทับของมัน แล้วพรานก็ถามกลับมาว่า เอ็งได้เห็นค้างคาวทั้งหมดกี่ตัว ผมตอบไปว่าสามตัวครับ พรานก็ทำท่าตกใจนิดๆ แล้วก็พูดขึ้นว่า พวกเอ็งก็เก่งนะที่รอดชีวิตกันมาได้ ไอ้ค้างคาวผีพวกนี้มันร้ายกว่าเสือสมิงหรือซางอีกนะ ผมถามลุงพรานว่า แล้วพวกผมจะออกไปจากป่านี้ได้ยังไง ลุงเขาก็บอกว่ายังออกไม่ได้ถ้ายังไม่ได้ฆ่าไอ้ค้างคาวผีพวกนั้น มันลวงตาพวกเอ็งให้หาทางออกไม่เจอ แล้วพวกเอ็งได้เห็นร่างตอนที่มันเป็นคนกันหรือเปล่า ผมตอบว่า เห็นครับเป็นผู้หญิงเปลือยกาย แต่เห็นแค่คนเดียว อีกสองตัวผมไม่เห็นตอนที่มันแปลงเป็นคน ลุงพรานบอกว่า งั้นก็ต้องรีบแล้ว ให้หาพื้นที่โล่งๆ ใกล้ๆ ธารน้ำไว้เป็นที่พักก่อนสำหรับคืนนี้
ผมก็คิดว่าไหนๆ ก็ไม่มีอะไรจะเสียแล้วก็ลองทำตามอย่างที่ลุงพรานพูดดู หลังจากจัดเตรียมทุกอย่างเรียบร้อย พรานทั้งสองท่านนั้นก็เอาสายสิญจน์มาล้อมรอบพื้นที่ที่ได้เตรียมเอาไว้ แล้วก็นั่งบริกรรมคาถาอะไรสักอย่างนึง พรานอีกท่านหนึ่งก็หันมาบอกว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อย่าออกไปจากบริเวณนี้เด็ดขาด ผมจึงถามพรานท่านนั้นว่า ไอ้พวกค้างคาวผีพวกนี้มันมีกันกี่ตัว ลุงพรานก็บอกว่ามีประมาณสามถึงสี่ตัว แต่ว่ามีบริวารที่เป็นผีป่าอีกเยอะ มันชอบที่จะกินหัวใจของคน ยิ่งกินยิ่งแกร่ง มันเคยไปกินคนในหมู่บ้านหลายหมู่บ้าน จนเกือบจะเป็นหมู่บ้านร้างทั้งหมดในป่านี้ ในป่าแห่งนี้เมื่อก่อนมันเป็นป่าลับแล เป็นที่อยู่ของหญิงสาวและกินรี เป็นป่าที่หายสาบสูญไปบนโลกนานมากแล้ว ที่พวกเอ็งทั้งหมดหลงเข้ามาได้ก็เป็นเพราะว่า ดวงชะตาของพวกเอ็งทุกคนถึงฆาตกันหมดแล้ว แต่ว่ายังไม่ตายเท่านั้นเอง ยังดีนะที่พวกเขาสองคนมาเจแพวกเอ็งซะก่อน ไม่อย่างนั้นตายทั้งหมดนี้แน่นอน ผมจึงถามกลับไปว่า แล้วลุงพรานทั้งสองคนเข้ามาในป่าแห่งนี้ได้อย่างไร เขาก็ตอบกลับมาว่า ข้าสองคนเป็นคนมีวิชานะ เลยเดินทางเข้าออกได้
ในขณะที่กำลังนั่งคุยกับพรานอยู่นั้น จู่ๆ ก็เกิดมีลมพายุพัดมาจากไหนก็ไม่รู้ แรงมากๆ ครับ แล้วก็มีเสียงผู้หญิงหัวเราะดังมาจากบนฟ้า เห็นเป็นเงาของสัตว์รูปร่างคล้ายๆ ค้างคาวบินผ่านไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งตัวมันใหญ่กว่าที่ผมเห็นครั้งแรกมาก ดูจากลักษณะการบินในขณะที่กางปีกออกมานั้น น่าจะประมาณสักห้าเมตรได้เลย ตัวมันใหญ่จริงๆ และระหว่างนั้นเอง พรานคนที่นั่งบริกรรมคาถาอยู่ได้หยิบเอามีดหมอออกมาจากกระเป๋าแล้วก็ปักลงที่ดิน พอปักลงไปเท่านั้นแหลัก็ได้ยินเสียงผู้หญิงกรีดร้องออกมาดังมากๆ เสียงน่ากลัวมากจริงๆ พอดึงมีดขึ้นมาก็มีเลือดไหลออกมาจากรอยตรงที่ปักลงไปด้วย ทหารทุกนายต่างเสียขวัญเพราะกลัวกันมากๆ หลายๆ คนตาค้างในสิ่งที่เห็นอยู่ต่อหน้า เลือดที่ไหลออกมาจากแผ่นดิน ลักษณะนั้นคล้ายกับเลือดตรงที่ต้นไม้ที่ยิงค้างคาวผีในครั้งแรกนั่นล่ะครับ กลิ่นสาบสางของเลือดนั้นแรงมาก ทันใดนั้นพรานท่านนั้นก็เอาน้ำมนต์เทลงไปตรงกองเลือดนั้นเอง เลือดนั้นกลายเป็นไอดำๆ รอยที่มีดปักก็หายไป ทันใดนั้นบริเวณรอบๆ ก็เห็นเป็นดวงตาสีแดงหลายร้อยดวง
ลุงพรานบอกให้เอากระสุนของทุกคนมากองรวมกัน แล้วเอาน้ำมนต์พรมลงมาที่ลูกกระสุน แล้วก็เอากระสุนพวกนี้บรรจุลงปืนของทหารแต่ละนาย และเน้นย้ำให้ทุกคนอย่าออกนอกบริเวณที่กั้นเอาไว้แล้ว และกำชับว่าไม่ต้องไปกลัว ถ้าตัวไหนมันขยับก็ยิงได้เลย ทหารหลายๆ นายที่อยู่ริมๆ บริเวณนั้น พอเห็นดวงตาสีแดงขยับก็กระหน่ำยิงไม่ยั้ง หลังจากยิงออกไปกลับมีเสียงกรีดร้องของคน ดังโหยหวนออกมารอบตัว ทั้งเสียงผู้หญิงและผู้ชาย ทำให้ทุกคนขนลุกกันไปหมด ในขณะนั้นผมตกใจจนตัวสั่น แต่ลุงพรานก็ตะโกนบอกเรื่อยๆ ว่าพวกเอ็งอย่าไปกลัวมัน ถ้ารอดออกไปจากคืนนี้ได้พวกเอ็งก็จะได้กลับบ้านแน่นอน ทหารหลายนายยิงออกไปอย่างบ้าคลั่ง จนแสงสีแดงจากแววตาเหล่านั้นค่อยๆ หายไป ทีนี้ผมจึงตั้งสติ ค่อยๆ มองออกไปรอบๆ ตัว เห็นเงาดำๆ วิ่งไปวิ่งมา มองออกไปไกลหน่อยก็เห็นผู้หญิงยืนอยู่บนยอดไม้ไกลออกไปไม่น่าจะเกินร้อยเมตร ที่เห็นได้ชัดก็เพราะว่าแถวนี้มันเป็นที่โล่งและแสงจันทร์ก็สว่างมาก แต่ว่าครั้งนี้ไม่ใช่เห็นแค่ผู้หญิงคนเดียวแล้วนะครับ มีผู้ชายอีกสองคนยืนอยู่ข้างๆ บนยอดไม้ใกล้ๆ กัน แต่ก็ไม่แน่ใจว่าใช่ผู้ชายหรือเปล่า เพราะว่ามันเป็นเงาๆ เลยเห็นไม่ค่อยชัดนัก มันค่อยๆ กระโดดมาพร้อมๆ กันทั้งสามตัว แล้วก็กลายร่างเป็นค้างคาวตัวเล็กสองตัว ตัวใหญ่ 1 ตัว ตัวเล็กน่าจะกว้างประมาณสามเมตรได้ ส่วนตัวใหญ่ปีกมันกว้างมากครับน่าจะสักห้าเมตร พวกมันบินตรงมาทางพวกเรา
ในขณะนั้นพรานชราที่นั่งอยู่ข้างหน้าสุดได้หยิบปืนสั้นยิงออกไปหนึ่งนัดในขณะที่มันกำลังบินเข้ามา แล้วก็มีเสียงผู้ชายครับ เสียงผู้ชายร้องด้วยความเจ็บปวด แล้วค้างคาวตัวหนึ่งก็ร่วงหล่นลงมาในวงสายสิญจน์มันเป็นค้างคาวตัวที่เห็นในรูปที่แนบมาให้นั่นแหละครับ แต่อีกสองตัวมันบินหนีไปได้ และมีเสียงของผู้หญิงตะโกนกลับออกมาว่า กูไม่ปล่อยพวกมึงเอาไว้แน่ มันเป็นเสียงที่แปลกประหลาดมากๆ ครับ คล้ายกับเสียงของคนหลายๆ คนพูดออกมาจากจุดๆ เดียว แล้วก็บินหายไปทางไหนก็ไม่รู้ หลังจากนั้น พรานท่านหนึ่งก็หยิบมีดหมอเดินตรงไปที่ซากค้างคาว เอามีดควักหัวใจมันออกมาแล้วก็สับให้มันขาดครึ่ง เอาใส่ไหสองไหไปฝังในดินในทิศตะวันออกหนึ่งไห ทิศตะวันตกหนึ่งไห แล้วก็ตรึงซากค้างคาวไว้เพื่อปลดปล่อยดวงวิญญาณที่มันฆ่า แต่เราก็ฆ่ามันได้แค่ตัวเดียวเท่านั้น แล้วลุงพรานก็บอกว่า พวกเอ็งทุกคนไม่ต้องกลัว คืนนี้พวกเอ็งนอนพักกันได้แล้ว พรุ่งนี้ข้าสองคนจะทำพิธีเปิดป่าให้พวกเอ็งกลับบ้านกัน
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต |
ผมก็สั่งให้ทหารทุกนายไปนอนพักกัน ระหว่างนั้นผมก็ถามนายพรานทั้งสองท่านว่าแล้วไอ้พวกค้างคาวผีมันจะไม่กลับมาอีกเหรอครับ ลุงพรานก็บอกว่าคืนนี้มันไม่มาหรอก แต่พรุ่งนี้มันมาแน่นอน ลุงพรานยังกำชับอีกว่า พรุ่งนี้พวกเอ็งทุกคนต้องกลับให้ถึงค่าย ไม่อย่างนั้นจะตายกันทั้งหมดนี่แหละ และยังกำชับด้วยอีกว่า พรุ่งนี้ข้าสองคนคงนำทางพวกเอ็งกลับไปไม่ได้ เพราะว่าต้องอยู่ที่นี่อีก แต่ให้พวกเอ็งทุกคนมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออก ที่สำคัญไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ห้ามให้ใครหันหลังกลับมามองเด็ดขาด
พอรุ่งเช้า แสงพระอาทิตย์ส่อง ลุงพรานก็ได้ทำพิธีเบิกทาง แล้วผมก็สั่งให้นายทหารทุกคนจัดขบวน แล้วให้นายทหารทุกคนปลดสัมภาระทุกอย่างทิ้งให้หมดทั้งปืนทั้งกระเป๋า แล้วก็ให้เสบียงที่เหลือกับพรานทั้งสองท่านเอาไว้ แล้วทั้งหมดก็รีบเดินมาทางทิศตะวันออก สั่งกำชับทุกฝีเก้าว่า อย่าหันไปมองข้างหลัง เดินไปก็ตะโกนกันไปว่า อย่าหันไปมองข้างหลัง พอเดินผ่านออกไปได้เจอถนน พวกเราทุกคนก็วิ่งไปที่ถนน ต่างคนต่างดีใจ กระโดดกอดกันทั้งน้ำตา รออยู่สักพัก รถทหารของค่ายพวกผมก็ผ่านมาพอดี พวกเราทุกคนก็ได้กลับค่ายกัน
พอกลับมาถึงค่าย ผมก็นำเรื่องนี้ไปเล่าให้นายพลฟังเป็นการส่วนตัว นายพลท่านถามขึ้นมาว่า กองทหารหายไปไหนกันมาตั้งเก้าวัน ผมแปลกใจมากครับเพราะเท่าที่ผมเห็นพระอาทิตย์ขึ้นลงนับได้ก็แค่ห้าวันเอง แล้วนายพลก็ถามว่าเจอพรานแก่ทั้งสองคนด้วยใช่มั้ยถึงออกมาได้ ผมตกใจมากในคำพูดของท่านนายพล แต่ท่านก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ เรื่องราวก็มีอยู่เท่านี้ล่ะครับ มีสิ่งหนึ่งที่อธิบายไม่ได้อีกเรื่องก็คือพรานทั้งสองท่านนั้นเป็นคนหรือไม่
สยองขวัญ
จัดอันดับ
10 อันดับลายสักยันต์ยอดนิยมของคนไทย
10 อันดับลายสักยันต์ยอดนิยมของคนไทย
ที่มา รายการ 5 มหานิยม
วัฒนธรรมการสักลวดลายบนผิวหนัง หรือที่เรียกกันว่า สักลาย หรือสักยันต์ นับเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของไทย ที่มีกันมาอย่างช้านานดังที่ปรากฏในภาพจิตรกรรมฝาผนัง ถึงแม้จะไม่มีหลักฐานยืนยันแน่ชัดว่าการสักเกิดขึ้นครั้งแรกแมื่อไหร่ ลวดลายการสักยันต์ต่างๆ ที่มีการดัดแปลงและสืบทอดมาจนถึงปัจจุบันของไทยส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับความเชื่อ โดยผู้ที่สักยันต์นั้นมักจะหวังผลทางไสยศาสตร์ 2 อย่างคือ เมตตามหานิยมและคงกระพันชาตรี โดยในอดีตมีพระเกจิคณาจารย์หลายรูปที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นสุดยอดของการสักยันต์ ที่รู้จักกันเป็นอย่างดีก็คือหลวงพ่อเปิ่นวัดบางพระ แก่นแท้ที่เป็นหัวใจของการสักยันต์นั้นอยู่ที่คาถา ซึ่งกำกับลวดลายแต่ละลาย เป็นคาถาชั้นสูงที่อาจารย์จะถ่ายทอดให้ลูกศิษย์ที่ไว้ใจเท่านั้น
ในปัจจุบันมีสำนักสักยันต์ ตลอดจนมีอาจารย์หลายต่อหลายคนที่ขึ้นชื่อในเรื่องนี้ แต่ถ้าพูดถึงอาจารย์ชื่อดังที่ทำให้กระแสของการสักยันต์กลับมาโด่งดังไปในทุกวงการของประเทศไทยและเป็นที่รู้จักไกลไปทั่วโลกก็ต้องยกให้อาจารย์หนู กันภัย และคงปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจุบันลวดลายต่างๆ ของสำนักอาจารย์หนูนั้นมีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักในวงกว้าง เราจึงได้ทำการสำรวจความนิยมจากคนทุกวงการทั้งเหล่านักแสดงและประชาชนทั่วไปว่ารอยสักใดคือรอยสักยันต์ยอดฮิตที่พวกเขานิยมสักมาที่สุด
อันดับที่ 10 ยันต์เก้ายอด
เป็นยันต์ที่มีพุทธคุณด้านคงกระพันชาตรีและเป็นที่นิยมในหมู่นักรบสมัยโบราณ โดยมักจะสักไว้บริเวณท้ายทอย โดยเชื่อกันว่าผู้ที่สักยันต์เก้ายอดนั้นจะคงกระพันชาตรี ฟันแทงไม่เข้า ซึ่งผู้ที่รับการสักยันต์เก้ายอดนั้นจะต้องประพฤติปฏิบัติตนเป็นคนดีอยู่ในศีลธรรม หมั่นทำบุญอยู่เสมอ
อันดับที่ 9 ยันต์จิ้งจก
หรือเป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นจิ้งจกชั้นพรหม ตัวแทนแห่งเสน่ห์ เมตตามหานิยมและเรียกทรัพย์ที่โด่งดังมานาน ตำแหน่งที่สักนั้นไม่จำกัด มีลายของจิ้งจกมากมายหลายแบบให้เลือกไม่ว่าจะเป็น จิ้งจกมหาโชค ด้วนมหาลาภ แฝดมหาลาภตะขอเงินตะขอทอง และเกี้ยวทับทองดำเป็นต้น
อันดับที่ 8 ยันต์คู่ชีวิต
หรือยันต์อะสิสันติ หรือพระพุทธเจ้าห้ามอาวุธเป็นยันต์ที่มีพุทธคุณป้องกันศาสตราวุธทั้งปวง เชื่อกันว่ามีแล้วชีวิตอยู่คง เป็นยันต์หนึ่งในตำราพิชัยสงครามที่ระบุไว้ว่าเป็นยันต์ชั้นสูงหาค่าประมาณมิได้
อันดับที่ 7 ยันต์แปดทิศ
หรือยันต์อิติปิโสแปดทิศ เป็นยันต์สารพัดป้องกันร้อยแปดที่ในอดีตผู้ที่ต้องเดินทางเข้าป่าหรือพระธุดงค์มักจะเขียนไว้ที่พื้นเสมอ เพื่อช่วยป้องกันสัตว์ร้าย ภูติผีปีศาจ ตลอดจนแคล้วคลาดจากอันตราย จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องเดินทางไกลอยู่เสมอ
อันดับที่ 6 ยันต์โภคทรัพย์
เป็นรอยสักยันต์ที่มีพุทธคุณไม่แพ้ใคร เด่นทางด้านโภคทรัพย์ เงินทองไหลมาเทมา มีไว้ไม่อดตาย ทำมาค้าขึ้น มีเมตตามหานิยม จึงเป็นที่นิยมในหมู่ผู้ทำการค้าและธุรกิจต่างๆ โดยส่วนใหญ่มักนิยมสักไว้ที่ท้ายทอยเช่นเดียวกับยันต์เก้ายอด
อันดับที่ 5 ยันต์โสฬสมงคล
ถือเป็นยันต์อันวิเศษสุดกว่ายันต์ทั้งปวง ผู้สักมักจะสักยันต์นี้ไว้ที่กลางหลัง ยันต์นี้ประกอบไปด้วยเลขสามชั้น ชั้นนอกลงด้วยเลข 16 ตัว รอบกลางลงด้วยเลข 12 ตัว ด้วยสูตรตรีนิสิงเห รอบในลงด้วยเลข 6 ตัว ด้วยสูตรจตุโร แล้วทำการลงอักขระเพื่อล้อมรอบยันต์ทั้งสี่ด้าน พร้อมว่าพระคาถาบารมีสามสิบทัศ
***หลวงปู่เอี่ยม วัดสะพานสูง ปากเกร็ด นนทบุรี ท่านเอามาจัดสร้างเป็นตะกรุด เรียกว่าตะกรุดโสฬสมงคล ช่วยแก้อาถรรพ์ต่างๆ และป้องกันภัยภยันตราย เสริมโชคลาภ ยันต์โสฬสมงคลเป็นยันต์ของสูง ในเวลาที่มีพิธีกรรมสร้างพระพุทธรูปจะมียันต์นี้ปรากฏอยู่ด้วย***
อันดับที่ 4 ยันต์เสือเหลียวหลัง
โดยทั่วไปยันต์เสือคือยันต์แห่งมหาอำนาจ ตบะ เดชะ และคงกระพัน แต่ถ้าเป็นยันต์เสือเหลียวหลังจะมีพุทธคุณด้านเมตตามหานิยมพ่วงมาด้วย เป็นเเมตตาชนิดที่คนต้องหันมาเหลียวมองเรา จะสักบริเวณแผ่นหลังค่อนมาทางด้านล่าง นอกจากจะมีความสวยงามโดดเด่นแล้ว ยังมีชื่อเสียงไปทั่วโลก เพราะดาราฮอลลีวู้ดชื่อดังแอนเจลิน่า โจลีได้เดินทางมาสักถึงเมืองไทย ยันต์เสือเหลียวหลังนี้เป็นเสือปางนารายณ์อวตาร ช่วยเรื่องเมตตามหานิยม ร้ายกลับกลายเป็นดี แก้ฮวงจุ้ยต่างๆ
อันดับที่ 3 ยันต์นะสำเร็จหรือยันต์นะมหาสำเร็จ
เป็นยันต์ที่นิยมนำมาสักบริเวณต้นคอแทนที่ยันต์เก้ายอด เพราะยันต์เก้ายอดมีอิทธิคุณทางมหาอุตที่อาจส่งผลให้อุดเงินไปด้วย ยันต์นะสำเร็จจึงเข้ามาแทนเพื่อช่วยเพิ่มเมตตา ทำการสิ่งใดก็ประสบความสำเร็จ กินไม่รู้สิ้น ช่วยเรื่องงานและโชคลาภโดยตรง
อันดับที่ 2 ยันต์ฉัตรเพชร
เป็นยันต์ที่มีลักษณะเป็นแถวเรียงลงมาแบบเดียวกับยันต์ห้าแถว แต่มีจุดเด่นเพิ่มขึ้นมาคือมีโครงตาข่ายเชื่อมกันระหว่างแถว โดยปกติทั่วไปนิยมสักยันต์ฉัตรเพชรไว้บริเวณไหล่ขวา ยันต์ฉัตรเพชรนี้โดดเด่นด้านโชคลาภการเงิน แก้ดวงชะตาที่ตกต่ำและเสริมดวง ยันต์ฉัตรเพชรค่ายกลนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ทำงานบริษัท ค้าขาย ผู้ที่มีบริวารเยอะ ลูกน้องเยอะ มียันต์นี้ไว้เป็นตาข่ายครอบคลุมป้องกันสิ่งไม่ดีต่างๆ จึงเรียกได้ว่าเป็นตาข่ายเพชรหรือฉัตรเพชรนั่นเอง
อันดับที่ 1 ยันต์ห้าแถว
ยันต์ห้าแถวนี้เป็นยันต์ที่อาจารย์หนู กันภัยคิดค้นขึ้นมาเอง เป็นที่นิยมและเป็นที่รู้จักมากเพราะแอนเจลิน่า โจลี่เดินทางมาสัก ทำให้คนในวงการบันเทิงของประเทศไทยและประชาชนทั่วไปเดินทางมาสักยันต์นี้กัน อาจารย์หนู กันภัยได้คิดค้นมาจากวันประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า โดยแถวที่หนึ่งช่วยแก้ฮวงจุ้ยที่อยู่อาศัย แถวที่สองหนุนดวงโดยตรง แถวที่สามกันคุณ กันการกระทำ แถวที่สี่ช่วยเรื่องโชคลาภ ความสำเร็จ ทำอะไรก็ประสบกับความสำเร็จ แถวที่หนึ่งเป็นเมตตามหาเสน่ห์
บทความจัดอันดับแนะนำ
ที่มา รายการ 5 มหานิยม
วัฒนธรรมการสักลวดลายบนผิวหนัง หรือที่เรียกกันว่า สักลาย หรือสักยันต์ นับเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของไทย ที่มีกันมาอย่างช้านานดังที่ปรากฏในภาพจิตรกรรมฝาผนัง ถึงแม้จะไม่มีหลักฐานยืนยันแน่ชัดว่าการสักเกิดขึ้นครั้งแรกแมื่อไหร่ ลวดลายการสักยันต์ต่างๆ ที่มีการดัดแปลงและสืบทอดมาจนถึงปัจจุบันของไทยส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับความเชื่อ โดยผู้ที่สักยันต์นั้นมักจะหวังผลทางไสยศาสตร์ 2 อย่างคือ เมตตามหานิยมและคงกระพันชาตรี โดยในอดีตมีพระเกจิคณาจารย์หลายรูปที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นสุดยอดของการสักยันต์ ที่รู้จักกันเป็นอย่างดีก็คือหลวงพ่อเปิ่นวัดบางพระ แก่นแท้ที่เป็นหัวใจของการสักยันต์นั้นอยู่ที่คาถา ซึ่งกำกับลวดลายแต่ละลาย เป็นคาถาชั้นสูงที่อาจารย์จะถ่ายทอดให้ลูกศิษย์ที่ไว้ใจเท่านั้น
ในปัจจุบันมีสำนักสักยันต์ ตลอดจนมีอาจารย์หลายต่อหลายคนที่ขึ้นชื่อในเรื่องนี้ แต่ถ้าพูดถึงอาจารย์ชื่อดังที่ทำให้กระแสของการสักยันต์กลับมาโด่งดังไปในทุกวงการของประเทศไทยและเป็นที่รู้จักไกลไปทั่วโลกก็ต้องยกให้อาจารย์หนู กันภัย และคงปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจุบันลวดลายต่างๆ ของสำนักอาจารย์หนูนั้นมีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักในวงกว้าง เราจึงได้ทำการสำรวจความนิยมจากคนทุกวงการทั้งเหล่านักแสดงและประชาชนทั่วไปว่ารอยสักใดคือรอยสักยันต์ยอดฮิตที่พวกเขานิยมสักมาที่สุด
อันดับที่ 10 ยันต์เก้ายอด
เป็นยันต์ที่มีพุทธคุณด้านคงกระพันชาตรีและเป็นที่นิยมในหมู่นักรบสมัยโบราณ โดยมักจะสักไว้บริเวณท้ายทอย โดยเชื่อกันว่าผู้ที่สักยันต์เก้ายอดนั้นจะคงกระพันชาตรี ฟันแทงไม่เข้า ซึ่งผู้ที่รับการสักยันต์เก้ายอดนั้นจะต้องประพฤติปฏิบัติตนเป็นคนดีอยู่ในศีลธรรม หมั่นทำบุญอยู่เสมอ
อันดับที่ 9 ยันต์จิ้งจก
หรือเป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นจิ้งจกชั้นพรหม ตัวแทนแห่งเสน่ห์ เมตตามหานิยมและเรียกทรัพย์ที่โด่งดังมานาน ตำแหน่งที่สักนั้นไม่จำกัด มีลายของจิ้งจกมากมายหลายแบบให้เลือกไม่ว่าจะเป็น จิ้งจกมหาโชค ด้วนมหาลาภ แฝดมหาลาภตะขอเงินตะขอทอง และเกี้ยวทับทองดำเป็นต้น
อันดับที่ 8 ยันต์คู่ชีวิต
หรือยันต์อะสิสันติ หรือพระพุทธเจ้าห้ามอาวุธเป็นยันต์ที่มีพุทธคุณป้องกันศาสตราวุธทั้งปวง เชื่อกันว่ามีแล้วชีวิตอยู่คง เป็นยันต์หนึ่งในตำราพิชัยสงครามที่ระบุไว้ว่าเป็นยันต์ชั้นสูงหาค่าประมาณมิได้
อันดับที่ 7 ยันต์แปดทิศ
หรือยันต์อิติปิโสแปดทิศ เป็นยันต์สารพัดป้องกันร้อยแปดที่ในอดีตผู้ที่ต้องเดินทางเข้าป่าหรือพระธุดงค์มักจะเขียนไว้ที่พื้นเสมอ เพื่อช่วยป้องกันสัตว์ร้าย ภูติผีปีศาจ ตลอดจนแคล้วคลาดจากอันตราย จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องเดินทางไกลอยู่เสมอ
อันดับที่ 6 ยันต์โภคทรัพย์
เป็นรอยสักยันต์ที่มีพุทธคุณไม่แพ้ใคร เด่นทางด้านโภคทรัพย์ เงินทองไหลมาเทมา มีไว้ไม่อดตาย ทำมาค้าขึ้น มีเมตตามหานิยม จึงเป็นที่นิยมในหมู่ผู้ทำการค้าและธุรกิจต่างๆ โดยส่วนใหญ่มักนิยมสักไว้ที่ท้ายทอยเช่นเดียวกับยันต์เก้ายอด
อันดับที่ 5 ยันต์โสฬสมงคล
ถือเป็นยันต์อันวิเศษสุดกว่ายันต์ทั้งปวง ผู้สักมักจะสักยันต์นี้ไว้ที่กลางหลัง ยันต์นี้ประกอบไปด้วยเลขสามชั้น ชั้นนอกลงด้วยเลข 16 ตัว รอบกลางลงด้วยเลข 12 ตัว ด้วยสูตรตรีนิสิงเห รอบในลงด้วยเลข 6 ตัว ด้วยสูตรจตุโร แล้วทำการลงอักขระเพื่อล้อมรอบยันต์ทั้งสี่ด้าน พร้อมว่าพระคาถาบารมีสามสิบทัศ
***หลวงปู่เอี่ยม วัดสะพานสูง ปากเกร็ด นนทบุรี ท่านเอามาจัดสร้างเป็นตะกรุด เรียกว่าตะกรุดโสฬสมงคล ช่วยแก้อาถรรพ์ต่างๆ และป้องกันภัยภยันตราย เสริมโชคลาภ ยันต์โสฬสมงคลเป็นยันต์ของสูง ในเวลาที่มีพิธีกรรมสร้างพระพุทธรูปจะมียันต์นี้ปรากฏอยู่ด้วย***
อันดับที่ 4 ยันต์เสือเหลียวหลัง
โดยทั่วไปยันต์เสือคือยันต์แห่งมหาอำนาจ ตบะ เดชะ และคงกระพัน แต่ถ้าเป็นยันต์เสือเหลียวหลังจะมีพุทธคุณด้านเมตตามหานิยมพ่วงมาด้วย เป็นเเมตตาชนิดที่คนต้องหันมาเหลียวมองเรา จะสักบริเวณแผ่นหลังค่อนมาทางด้านล่าง นอกจากจะมีความสวยงามโดดเด่นแล้ว ยังมีชื่อเสียงไปทั่วโลก เพราะดาราฮอลลีวู้ดชื่อดังแอนเจลิน่า โจลีได้เดินทางมาสักถึงเมืองไทย ยันต์เสือเหลียวหลังนี้เป็นเสือปางนารายณ์อวตาร ช่วยเรื่องเมตตามหานิยม ร้ายกลับกลายเป็นดี แก้ฮวงจุ้ยต่างๆ
อันดับที่ 3 ยันต์นะสำเร็จหรือยันต์นะมหาสำเร็จ
เป็นยันต์ที่นิยมนำมาสักบริเวณต้นคอแทนที่ยันต์เก้ายอด เพราะยันต์เก้ายอดมีอิทธิคุณทางมหาอุตที่อาจส่งผลให้อุดเงินไปด้วย ยันต์นะสำเร็จจึงเข้ามาแทนเพื่อช่วยเพิ่มเมตตา ทำการสิ่งใดก็ประสบความสำเร็จ กินไม่รู้สิ้น ช่วยเรื่องงานและโชคลาภโดยตรง
อันดับที่ 2 ยันต์ฉัตรเพชร
เป็นยันต์ที่มีลักษณะเป็นแถวเรียงลงมาแบบเดียวกับยันต์ห้าแถว แต่มีจุดเด่นเพิ่มขึ้นมาคือมีโครงตาข่ายเชื่อมกันระหว่างแถว โดยปกติทั่วไปนิยมสักยันต์ฉัตรเพชรไว้บริเวณไหล่ขวา ยันต์ฉัตรเพชรนี้โดดเด่นด้านโชคลาภการเงิน แก้ดวงชะตาที่ตกต่ำและเสริมดวง ยันต์ฉัตรเพชรค่ายกลนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ทำงานบริษัท ค้าขาย ผู้ที่มีบริวารเยอะ ลูกน้องเยอะ มียันต์นี้ไว้เป็นตาข่ายครอบคลุมป้องกันสิ่งไม่ดีต่างๆ จึงเรียกได้ว่าเป็นตาข่ายเพชรหรือฉัตรเพชรนั่นเอง
อันดับที่ 1 ยันต์ห้าแถว
ยันต์ห้าแถวนี้เป็นยันต์ที่อาจารย์หนู กันภัยคิดค้นขึ้นมาเอง เป็นที่นิยมและเป็นที่รู้จักมากเพราะแอนเจลิน่า โจลี่เดินทางมาสัก ทำให้คนในวงการบันเทิงของประเทศไทยและประชาชนทั่วไปเดินทางมาสักยันต์นี้กัน อาจารย์หนู กันภัยได้คิดค้นมาจากวันประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า โดยแถวที่หนึ่งช่วยแก้ฮวงจุ้ยที่อยู่อาศัย แถวที่สองหนุนดวงโดยตรง แถวที่สามกันคุณ กันการกระทำ แถวที่สี่ช่วยเรื่องโชคลาภ ความสำเร็จ ทำอะไรก็ประสบกับความสำเร็จ แถวที่หนึ่งเป็นเมตตามหาเสน่ห์
บทความจัดอันดับแนะนำ
สรรพคุณของตะลิงปลิง
สรรพคุณของตะลิงปลิง
ตะลิงปลิงเป็นไม้ที่มีพื้นถิ่นกำเนิดในประเทศอินโดนีเซีย และพบตามชายทะเลในประเทศบราซิล มีการปลูกในประเทศไทยมานานแล้ว พบได้ในทั่วไปตามสวนและตามบ้าน ออกผลตามกิ่งก้านและลำต้นเป็นพวงแน่นและสวยงาม จึงเป็นที่นิยมปลูกโดยทั่วไป ผลมีรสเปรี้ยวใช้ในการบริโภค ตะลิงปลิงอยู่ในตระกูลเดียวกับมะเฟือง มีลักษณะตรงกลางระหว่างมะเฟืองกับมะดัน เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก เปราะหักง่าย เปลือกต้นมีสีชมพูผิวเรียบมีขนนุ่มปกคลุมตามกิ่ง ส่วนประกอบของใบเป็นใบประกอบแบบขนนก ก้านใบหนึ่งประกอบไปด้วยใบย่อย 11-37 ใบ มีสีเขียวอ่อนและมีขนนุ่มๆปกคลุมอยู่
การปลูกตะลิงปลิงนั้นปลูกง่าย ชอบดินร่วนปนทรายระบายน้ำได้ดี และไม่ทนน้ำท่วมขังเป็นเวลานาน นิยมขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ดหรือตอนกิ่ง ต้นที่ได้จากการเพาะเมล็ดจะมีทรงพุ่มสูงใหญ่และแข็งแกร่งกว่าต้นที่ได้จากการตอนกิ่ง แต่ต้องใช้เวลา 2-3 ปี ถึงจะมีดอกมีผล ขณะที่ต้นที่ได้จากการตอนกิ่งจะออกดอกผลหลังจากปลูกลงดินประมาณ 5-8 เดือน หลังจากปลูกได้นาน 3-4 เดือน ควรหมั่นตัดแต่งกิ่งให้เป็นพุ่ม และถ้าเราไม่ต้องการให้ต้นสูงมากก็ตัดส่วนยอดออก ให้ต้นตะลิงปลิงแตกกิ่งออกในบริเวณข้างๆ เพื่อให้เก็บผลได้ง่ายยิ่งขึ้น
ในการปลูกตะลิงปลิงเมื่อผ่านระยะเวลาที่จะให้ผลนั้น ตามบริเวณลำต้นจะมีการแตกตาโผล่ออกมา แล้วปลายจะเป็นช่อดอก เมื่อช่อดอกผุดออกจะกลายเป็นผล เป็นพวงห้อยระย้าสวยงาม การเก็บเกี่ยวก็มีหลายวิธีตามแต่ถนัด ในส่วนของดอกตะลิงปลิงนั้นจะมีความสวยงาม ออกดอกเป็นช่อหลายช่อตามลำต้นหรือกิ่ง ในแต่ละช่อจะมีความยาวไม่เกิน 6 นิ้ว ในหนึ่งดอกมีกลีบ 5 กลีบ สีแดงเข้ม กลีบเลี้ยง 5 กลีบเช่นกันสีเขียวอมชมพู และที่สำคัญเห็นสวยๆงามๆ อย่างนี้ยังมีสรรพคุณเป็นยาดีอีกด้วย ดอกของตะลิงปลิงนั้นเราจะนำมาชงเป็นยาสมุนไพร มีสรรพคุณแก้ไอ ละลายไขมันในเลือด ขับเสมหะ และยังช่วยในการขับเมือกมันในลำไส้ได้ดีอีกด้วย
ในส่วนของผลตะลิงปลิงนั้นจะเป็นผลกลมยาวปลายมน ผลยาวประมาณ 4-6 เซ็นติเมตร กว้างประมาณ 2 เซ็นติเมตร เป็นพูตามยาว ผิวเรียบมีสีเขียว เมื่อสุกจะมีสีเหลือง เมื่อตัดตามขวางจะมี 5 แฉกเหมือนมะเฟืองแต่เป็นลักษณะแฉกมน ออกผลเป็นช่อห้อย ผลตะลิงปลิงมีรสเปรี้ยว ในส่วนสรรพคุณของผลนั้นช่วยในการเจริญอาหาร บำรุงกระเพาะอาหาร เป็นยาฝาดสมาน แก้เสมหะเหนียว ฟอกโลหิต เป็นยาบำรุงกำลัง แก้ปวดมดลูก แก้ไอ แก้โรคริดสีดวงทวาร ลักปิดลักเปิด ใช้กินเล่นเป็นผลไม้ก็ได้สำหรับผู้ที่ชอบรสเปรี้ยว ใช้ทำน้ำผลไม้ ทำไวน์ ทำแยม หรือว่าจะนำมาถนอมอาหารโดยการดอง เชื่อม แช่อิ่ม กวน นำไปประกอบอาหารที่มีรสเปรี้ยวเช่น ต้มส้ม แกงส้ม ยำ ที่นิยมคือนำมาทานเป็นผักเคียงอาหารอย่างแหนมเนือง หรือน้ำพริก
ผลมีรสเปรี้ยวจัดมีวิตามินซีสูงมาก นอกจากนี้ยังมีแคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินเอ วิตามินบีหนึ่ง วิตามินบีสอง ไนอาซิน และโปแตสเซียมออกซาเลต รสเปรี้ยวของตะลิงปลิงใช้แทนมะนาวหรือมะขาม แต่รสชาติจะออกคล้ายมะดัน จะทานคู่กับน้ำปลาหวาน หรือกะปิหวานแทนมะม่วงก็อร่อยได้ประโยชน์ เป็นของทานเล่นที่ไม่อ้วน เนื่องจากผลมีรสเปรี้ยวจึงใช้แก้ไอขับเสมหะ บำรุงเลือด นอกจากนี้ยังใช้แก้ข้ออักเสบ แก้คางทูม ตะลิงปลิงนั้นจัดว่าเป็นผลไม้ที่มีวิตามินเอสูง แต่เหมือนทุกอย่างบนโลกนี้ที่ไม่ควรทานติดต่อกันจำนวนมากเป็นเวลานาน เพราะจะทำให้เลือดตกตะกอนได้
ในส่วนของใบสดนั้นเราสามารถนำมาตำคั้นน้ำทาพอกแก้อาการคัน ใช้ทำความสะอาดผ้าลินิน ใช้ล้างมือแทนสบู่ได้ดี ตะลิงปลิงเหมาะที่จะปลุกบริเวณบ้านเพราะปลูกง่าย สวยงาม ดอกมีกลิ่นหอม ในงานวิจัยประเทศสิงคโปร์พบว่าสารสกัดเอทานอลที่ได้จากน้ำใบตะลิงปลิงมีคุณสมบัติลดน้ำตาลในเลือดและไขมันในเลือด ดังนั้นการกินน้ำใบตะลิงปลิงก็น่าจะเหมาะกับผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน และผู้ที่มีไตรกลีเซอไรด์สูง ในประเทศฟิลิปปินส์มีการวิจัยสารสกัดจากใบตะลิงปลิงในเอทานอล 10% มาทาผื่นคัน ปรากฏว่าได้ผลดี ทำให้ผื่นคันหายดีเร็วกว่าการใช้ยาแก้คันถึงหนึ่งเท่าตัว
ตะลิงปลิงเป็นไม้ที่มีพื้นถิ่นกำเนิดในประเทศอินโดนีเซีย และพบตามชายทะเลในประเทศบราซิล มีการปลูกในประเทศไทยมานานแล้ว พบได้ในทั่วไปตามสวนและตามบ้าน ออกผลตามกิ่งก้านและลำต้นเป็นพวงแน่นและสวยงาม จึงเป็นที่นิยมปลูกโดยทั่วไป ผลมีรสเปรี้ยวใช้ในการบริโภค ตะลิงปลิงอยู่ในตระกูลเดียวกับมะเฟือง มีลักษณะตรงกลางระหว่างมะเฟืองกับมะดัน เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก เปราะหักง่าย เปลือกต้นมีสีชมพูผิวเรียบมีขนนุ่มปกคลุมตามกิ่ง ส่วนประกอบของใบเป็นใบประกอบแบบขนนก ก้านใบหนึ่งประกอบไปด้วยใบย่อย 11-37 ใบ มีสีเขียวอ่อนและมีขนนุ่มๆปกคลุมอยู่
การปลูกตะลิงปลิงนั้นปลูกง่าย ชอบดินร่วนปนทรายระบายน้ำได้ดี และไม่ทนน้ำท่วมขังเป็นเวลานาน นิยมขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ดหรือตอนกิ่ง ต้นที่ได้จากการเพาะเมล็ดจะมีทรงพุ่มสูงใหญ่และแข็งแกร่งกว่าต้นที่ได้จากการตอนกิ่ง แต่ต้องใช้เวลา 2-3 ปี ถึงจะมีดอกมีผล ขณะที่ต้นที่ได้จากการตอนกิ่งจะออกดอกผลหลังจากปลูกลงดินประมาณ 5-8 เดือน หลังจากปลูกได้นาน 3-4 เดือน ควรหมั่นตัดแต่งกิ่งให้เป็นพุ่ม และถ้าเราไม่ต้องการให้ต้นสูงมากก็ตัดส่วนยอดออก ให้ต้นตะลิงปลิงแตกกิ่งออกในบริเวณข้างๆ เพื่อให้เก็บผลได้ง่ายยิ่งขึ้น
ในการปลูกตะลิงปลิงเมื่อผ่านระยะเวลาที่จะให้ผลนั้น ตามบริเวณลำต้นจะมีการแตกตาโผล่ออกมา แล้วปลายจะเป็นช่อดอก เมื่อช่อดอกผุดออกจะกลายเป็นผล เป็นพวงห้อยระย้าสวยงาม การเก็บเกี่ยวก็มีหลายวิธีตามแต่ถนัด ในส่วนของดอกตะลิงปลิงนั้นจะมีความสวยงาม ออกดอกเป็นช่อหลายช่อตามลำต้นหรือกิ่ง ในแต่ละช่อจะมีความยาวไม่เกิน 6 นิ้ว ในหนึ่งดอกมีกลีบ 5 กลีบ สีแดงเข้ม กลีบเลี้ยง 5 กลีบเช่นกันสีเขียวอมชมพู และที่สำคัญเห็นสวยๆงามๆ อย่างนี้ยังมีสรรพคุณเป็นยาดีอีกด้วย ดอกของตะลิงปลิงนั้นเราจะนำมาชงเป็นยาสมุนไพร มีสรรพคุณแก้ไอ ละลายไขมันในเลือด ขับเสมหะ และยังช่วยในการขับเมือกมันในลำไส้ได้ดีอีกด้วย
ในส่วนของผลตะลิงปลิงนั้นจะเป็นผลกลมยาวปลายมน ผลยาวประมาณ 4-6 เซ็นติเมตร กว้างประมาณ 2 เซ็นติเมตร เป็นพูตามยาว ผิวเรียบมีสีเขียว เมื่อสุกจะมีสีเหลือง เมื่อตัดตามขวางจะมี 5 แฉกเหมือนมะเฟืองแต่เป็นลักษณะแฉกมน ออกผลเป็นช่อห้อย ผลตะลิงปลิงมีรสเปรี้ยว ในส่วนสรรพคุณของผลนั้นช่วยในการเจริญอาหาร บำรุงกระเพาะอาหาร เป็นยาฝาดสมาน แก้เสมหะเหนียว ฟอกโลหิต เป็นยาบำรุงกำลัง แก้ปวดมดลูก แก้ไอ แก้โรคริดสีดวงทวาร ลักปิดลักเปิด ใช้กินเล่นเป็นผลไม้ก็ได้สำหรับผู้ที่ชอบรสเปรี้ยว ใช้ทำน้ำผลไม้ ทำไวน์ ทำแยม หรือว่าจะนำมาถนอมอาหารโดยการดอง เชื่อม แช่อิ่ม กวน นำไปประกอบอาหารที่มีรสเปรี้ยวเช่น ต้มส้ม แกงส้ม ยำ ที่นิยมคือนำมาทานเป็นผักเคียงอาหารอย่างแหนมเนือง หรือน้ำพริก
ผลมีรสเปรี้ยวจัดมีวิตามินซีสูงมาก นอกจากนี้ยังมีแคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินเอ วิตามินบีหนึ่ง วิตามินบีสอง ไนอาซิน และโปแตสเซียมออกซาเลต รสเปรี้ยวของตะลิงปลิงใช้แทนมะนาวหรือมะขาม แต่รสชาติจะออกคล้ายมะดัน จะทานคู่กับน้ำปลาหวาน หรือกะปิหวานแทนมะม่วงก็อร่อยได้ประโยชน์ เป็นของทานเล่นที่ไม่อ้วน เนื่องจากผลมีรสเปรี้ยวจึงใช้แก้ไอขับเสมหะ บำรุงเลือด นอกจากนี้ยังใช้แก้ข้ออักเสบ แก้คางทูม ตะลิงปลิงนั้นจัดว่าเป็นผลไม้ที่มีวิตามินเอสูง แต่เหมือนทุกอย่างบนโลกนี้ที่ไม่ควรทานติดต่อกันจำนวนมากเป็นเวลานาน เพราะจะทำให้เลือดตกตะกอนได้
ในส่วนของใบสดนั้นเราสามารถนำมาตำคั้นน้ำทาพอกแก้อาการคัน ใช้ทำความสะอาดผ้าลินิน ใช้ล้างมือแทนสบู่ได้ดี ตะลิงปลิงเหมาะที่จะปลุกบริเวณบ้านเพราะปลูกง่าย สวยงาม ดอกมีกลิ่นหอม ในงานวิจัยประเทศสิงคโปร์พบว่าสารสกัดเอทานอลที่ได้จากน้ำใบตะลิงปลิงมีคุณสมบัติลดน้ำตาลในเลือดและไขมันในเลือด ดังนั้นการกินน้ำใบตะลิงปลิงก็น่าจะเหมาะกับผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน และผู้ที่มีไตรกลีเซอไรด์สูง ในประเทศฟิลิปปินส์มีการวิจัยสารสกัดจากใบตะลิงปลิงในเอทานอล 10% มาทาผื่นคัน ปรากฏว่าได้ผลดี ทำให้ผื่นคันหายดีเร็วกว่าการใช้ยาแก้คันถึงหนึ่งเท่าตัว
Subscribe to:
Posts (Atom)