15 สายพันธุ์สัตว์โลกสวยงามที่ใกล้สูญพันธุ์

15 สายพันธุ์สัตว์โลกสวยงามที่ใกล้สูญพันธุ์

1. เสือดาวหิมะ (Snow Leopard)


ชื่อวิทยาศาสตร์ Uncia uncia หรือ Panthera uncia
เสือดาวหิมะเป็นสายพันธุ์แมวขนาดปานกลาง มีถิ่นกำเนิดตามเทือกเขาในเอเชียกลาง มันมีจำนวนราวๆ 3,500 ถึง 7,000 ตัว

2. นกฟลามิงโก (Flamingos) 


นกฟลามิงโกเป็นสัตว์ที่อยู่ในวงศ์ Phoenicopteridae และอยู่ในจำพวกPhoenicopterus มีนกฟลามิงโกอยู่ 4 สายพันธุ์ในอเมริกา

3. แพนด้ายักษ์ (Giant Panda)


ขณะนี้ทั่วโลกมีแพนด้ายักษ์อยู่ประมาณ 1,590 ตัว

4. หมีขั้วโลก (Polar Bear)


หมีขั้วโลกมีชื่อวิทยาสาสตร์ว่า Ursus maritimus มีถิ่นกำเนิดขนาดใหญ่อยู่ที่อาร์คติคเซอร์เคิลที่ล้อมรอบด้วยมหาสมุทรอาร์คติค

5. ปลามังกร, ปลาตะพัด, ปลาอะโรวาน่า (Arowana)


ปลามังกรเป็นปลากระดูกแข็ง อาศัยในน้ำจืด อยู่ในวงศ์ Osteoglossidae บางครั้งเรียกว่าปลาลิ้นกระดูก (Bonytongues)

6. แพะป่ามาร์คอร์ (Markhor)


มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Capra falconeri มีถิ่นกำเนิดทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอัฟกานิสถาน อินเดียเหนือ (ตะวันตกเฉียงใต้ของจัมมูและแคชเมียร์) ภาคเหนือและภาคกลางของปากีสถาน มีประชากรตัวเต็มวัยน้อยกว่า 2,500 ตัว ซึ่งยังลดลงอย่างต่อเนื่อง

7. เสือดาว (Leopard)


ชื่อวิทยาศาสตร์ Panthera pardus วงศ์ Felidae
จัดเป็นสายพันธุ์แมวขนาดใหญ่แต่มีขนาดเล็กที่สุดจาก 4 สายพันธุ์ อีก 3 สายพันธุ์คือ เสือ สิงโต และเสือจากัวร์

8.เสือเบงกอล, เสือโคร่ง, เสือลายพาดกลอน (Bengal Tiger)


ชื่อวิทยาศาสตร์ Panthera tigris tigris หรือ Panthera tigris bengalensis
เป็นเสือสายพันธุ์หนึ่งพบมากในอินเดีย ตามข้อมูลขององค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล หรือ กองทุนสัตว์ป่าโลก (World Wide Fund for Nature-WWF) พบว่ามีเสือเบงกอลตามธรรมชาติอยู่ประมาณ 2,000 กว่าตัวทั่วโลก (1,411 ตัวในอินเดีย, 450 ตัวในบังคลาเทศ, 150 ตัวในเนปาล, 100 ตัวในภูฏาน ที่เหลืออยู่ในพม่า ไทย และจีน

9. ฮิโรลา (Hirola)


ชื่อวิทยาศาสตร์ Beatragus hunteri หรือ Damaliscus hunteri
เป็นละมั่งสายพันธุ์หนึ่งพบในที่ราบป่าหญ้าแห้งที่อยู่ตรงชายแดนระหว่างเคนยาและโซมาเลีย ฮิโรลามีจำนวนวิกฤตที่จะสูญพันธ์ อยู่ประมาณ 500 ถึง 1,200 ตัวในธรรมชาติ

10. หมาใน, หมาแดง (Dhole)


ชื่อวิทยาศาสตร์ Cuon alpinus
มีจำนวนประมาณ 2,000 ตัวที่อาศัยอยู่ในป่า

11. หมาจิ้งจอกแดง (Red Fox)


ชื่อวิทยาศาสตร์  Vulpes vulpes
เป็นสายพันธุ์หมาป่าขนาดเล็ก อาศัยอยู่ในอเมริกาเหนือ ยูเรเชีย และแอฟริกาเหนือ

12. เพนกวินมาเจลลัน (Magellanic penguin)


ชื่อวิทยาศาสตร์  Spheniscus magellanicus
อาศัยอยู่ในอเมริกาใต้ เช่นชายฝั่งทะเลของอาร์เจนติน่า ชิลี และ หมู่เกาะฟอล์กแลนด์ และบางส่วนที่ย้ายถิ่นฐานไปบราซิล

13. กระรอกบินนัมดาฟา (Namdapha Flying Squirrel)

ชื่อวิทยาศาสตร์  Biswamoyopterus biswasi
มันอาศัยอยู่บนต้นไม้ ออกหากินกลางคืน มีถิ่นฐานที่อินเดีย

14. หมาป่าหิมาลายัน (Himalayan Wolf)


ชื่อวิทยาศาสตร์  Canis himalayensis
เป็นสายพันธุ์หมาป่าที่กำลังวิกฤตสูญพันธุ์ มีจำนวนประมาณ 350 ตัว

15. นกเงือกนาร์คอนแดม (Narcondam Hornbill)


ชื่อวิทยาศาสตร์ Rhyticeros narcondami อยู่ในวงศ์ Bucerotidae
เป็นสายพันธุ์หนึ่งของนกเงือก อาศัยอยู่เฉพาะที่เกาะอินเดีย ในหมู่เกาะอันดามัน

สั่งซื้อหนังสือ อาณาจักรสัตว์ Grand Atlas of Animals

โลกของเรามีสิ่งมีชีวิตต่างๆมากกว่า 1,300,000 สปีชีส์ที่อาศัยอยูทุกมุมโลกทั้งบนบกและในน้ำ อาณาจักรสัตว์เล่มนี้จะพาคุณไปรู้จักสัตว์ต่างๆที่หลากหลายและน่าทึ่ง รวมถึงแสดงลักษณะทางกายวิภาค,สรีรวิทยาและพฤติกรรมของสัตว์เหล่านั้น
ปกแข็ง ภาพสี่สี่ทั้งเล่ม อ่านง่าย เปิดโลกการเรียนรู้


บทความแนะนำ

        5 อันดับเพชรฆาตใต้ทะเลลึก 10 อันดับแมลงต่อยเจ็บนาน 10 อันดับสัตว์ผีดูดเลือด 10 อันดับสัตว์แปลกที่คนไทยนิยมเลี้ยงมากที่สุด กระต่าย              25 สัตว์น้ำรูปร่างหน้าตาประหลาด 10 อันดับสัตว์มีพิษ 10 อันดับสัตว์สถาปนิก 10 อันดับการคิดค้นของสัตว์        


ดูบทความเมนูอาหารทั้งหมด ดูบทความภัยอันตรายทั้งหมด ดูบทความสุขภาพทั้งหมด ดูบทความวิทยาศาสตร์ทั้งหมด ดูบทความสยองขวัญทั้งหมด ดูบทความชีวิตสัตว์ทั้งหมด ดูบทความประวัติศาสตร์ทั้งหมด ดูบทความจัดอันดับทั้งหมด สารบัญบทความ


6 ตำนานผีของภาคเหนือ


อันดับที่ 6 ตำนานจุติ อสูรกายผีลิง
อสูรกายผีลิงมีลักษณะรูปร่างคล้ายลิง มีขนสีน้ำตาลตามตัว มีหางที่ยาวมากกว่าลำตัว มีนิ้วมือและนิ้วเท้าข้างละ 5 เหมือนมนุษย์ แต่นิ้วเท้าและมือจะยาวกว่ามนุษย์ มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับอสูรกายผีลิงว่า สมัยก่อน อุ๊ยแดง ได้เดินทางเข้าไปในป่าล่าสัตว์กับเพื่อน และก็ได้เจอกับลิงตัวหนึ่ง อุ๊ยแดงเล็งปืนด้ามไม้ไปที่ลิงตัวนั้น เมื่อได้จังหวะ เขาได้ทำการลั่นไกปืนทันที ลิงตัวนั้นเมื่อถูกยิงก็ได้ส่งเสียงร้องออกมาอย่างเจ็บปวด และส่งเสียงร้องเรียกลูกๆ ของมัน ด้วยความที่อุ๊ยแดงไม่รู้ว่าลิงตัวนั้นมีลูกน้อย เลยรู้สึกเสียใจและนำลิงตัวนั้นไปฝัง เมื่อเวลาผ่านไปอุ๊ยแดงได้ให้กำเนิดลูกออกมาเป็นลิง แต่ลิงตัวนั้นก็อยู่ได้ไม่เกิน 3 วัน มันก็ตายจากไป อุ๊ยเงิน ซึ่งเป็นพี่ชายของอุ๊ยแดง ได้นำลิงตัวนั้นไปฝัง ก่อนฝังก็ท่องคาถาตัดหัวต่อก้น เพื่อไม่ให้ลิงตัวนั้นมาเกิดอีก

อันดับที่ 5 พญานาค
พญานาคเป็นที่คุ้นหูของคนไทยเราอยู่แล้ว พญานาคมีลักษณะคล้ายกับงู ลำตัวใหญ่ ส่วนหัวจะมีหงอนสีทอง ตาสีแดง ลำตัวจะเป็นเกล็ดเหมือนปลา ลำตัวและเกล็ดจะแตกต่างกันไป แล้วแต่บารมีที่พญานาคตนนั้นได้สะสมเอาไว้ คือสีดำ สีเขียว หรือมีเจ็ดสีอยู่ในตัว เศียรตรงหัวของพญานาค จะบ่งบอกถึงตระกูล เศียรอันเดียวจะบ่งบอกถึงตระกูลธรรมดา ถ้ามีเศียรที่มากขึ้นแสดงถึงระดับของตระกูลที่สูงขึ้น

อันดับที่ 4 ผีม้าบ้อง
ตามตำนานของล้านนา ผีม้าบ้อง คือ ผีกะ ที่แก่กล้ามากๆ เลยกลายเป็นผีม้าบ้อง บางตำนานก็เล่าว่าเป็นผีที่ชอบแทะหัวควายแห้ง ผีม้าบ้องมีลักษณะครึ่งคนครึ่งม้า ผีม้าบ้องเกิดจากปาฏิหาริย์ของผีกะ เมื่อผีกะมีพลังที่แก่กล้าจะแปลงกายให้คล้ายม้า สีของลำตัวโดยมากจะเป็นสีหม่น มีตำนานเล่าว่าผีกะจะเข้าสิงเจ้าของของมัน โดยส่วนมากจะเป็นผู้ชาย ในเดือนมืดข้างแรม โดยมันจะพับขาเป็นสองข้างกับตัว หันศอกไปด้านหน้าให้เหมือนกับหูของม้า ใช้ผ้าขาวม้าผูกเอว แล้วเอาชายผ้าไว้ข้างหลังให้เหมือนกับหางม้า แล้ววิ่งออกไปข้างนอก เสียงของมันคล้ายกับเสียงวิ่งของวัวควาย

อันดับที่ 3 ผีป๊กกระโหล่ง
ผีตนนี้เกิดจากชาวเขาชาวดอยที่รักและห่วงธรรมชาติมาก เมื่อตายไปจะเกิดเป็นผีป๊กกระโหล่ง คอยดูแลผืนป่า ผีตนนี้มีลักษณะเหมือนคนป่า ผมยุ่งเหยิงเหมือนลิงมากกว่าคน และมักพกกะลาไว้เสมอ เวลาปรากฏตัวจะส่งเสียง ป๊กกระโหล่ง ป๊กกระโหล่ง ป๊กกระโหล่ง มาแต่ไกล โดยปกติแล้วผีตนนี้จะไม่ทำร้ายมนุษย์ก่อน แต่หากมนุษย์ไปทำลายป่า ตัดไม้ทำลายป่า ฆ่าสัตว์ป่า ผีตนนี้จะปรากฏตัวขึ้นมาและทำร้ายคนทันที คนที่ตายอยู่กลางป่าหรือหลงทางอยู่ในป่า เชื่อกันว่าเป็นฝีมือของผีป๊กกระโหล่งนี้เอง

อันดับที่ 2 ผีกะ
ผีกะเป็นวิญญาณที่ถูกเลี้ยงเอาไว้ในหม้อห่อด้วยผ้าขาวและจะถูกส่งต่อให้คนรุ่นลูกหลาน เปรียบเสมือนมรดกตกทอด แต่หากไม่มีผู้สืบทอดก็จะเก็บเอาไว้ในสิ่งของอย่างเช่น แหวน แก้ว หรือของมีค่าอื่นๆ และฝังไว้ใต้ดินบริเวณบ้าน ถ้ามีคนมาขุดพบแล้วนำสิ่งของนั้นไปเป็นของตน คนๆ นั้นขะต้องเป็นเจ้าของผีกะคนต่อไป ผีกะจะมีนิสัยอาฆาตแค้น ถ้าใครไปทำให้ผีกะอับอาย เมื่อคนๆ นั้นดวงตกเมื่อไหร่ ผีกะจะทำการล้างแค้นทันที ผีกะจะชอบกินของสดของคาวคล้ายๆ ผีปอบ ทั้งของสัตว์และมนุษย์ ผีกะมักชอบทำร้ายคนที่ดวงตก คนขวัญอ่อน เด็ก และทำร้ายคนที่เจ้าของไม่ชอบ การที่ผีกะไปทำร้ายคนอื่นนั้นมีเหตุผลสองอย่างคือ ไปตามคำสั่งของเจ้าของ กับเจ้าของนั้นเลี้ยงไม่ดีจึงออกไปทำร้ายคนอื่นเพื่อให้เจ้าของอับอายขายหน้า

อันดับที่ 1 นอนกัดกระดูกผี
ตามความเชื่อเล่าว่า คนที่ชอบนอนกัดฟันตอนกลางคืน คือคนที่ผีเอากระดูกมาให้กัด ไม่มีใครรู้สาเหตุว่า ทำไมผีจึงเอามาให้กัด แต่หากอยากเห็นว่าคนที่นอนกัดฟันนั้นจะมีผีเอากระดูกมาให้กัดจริงหรือเปล่า ให้เอาขี้ตาของสุนัขมาทาที่ตาแล้วก้มมองลอดใต้หว่างขา วิธีรักษาไม่ให้ผีเอากระดูกมาให้กัดนั้น มีอยู่สองวิธีคือ
1. เวลาไปงานศพของแม่ม่ายให้ขโมยไม้กวาดดอกหญ้ากลับมาด้วย ก่อนจะเอาให้พูดในใจว่า ลูกขอเอาเศษไม้กวาดกลับบ้านและขอให้ (ชื่อของผู้ที่นอนกัดฟัน) หายจากการนอนกัดฟันด้วยเถิด
2. ให้แอบขโมยเสี้ยนไม้ของโลงศพแม่ม่าย ก่อนจะหยิบก็ให้พูดในใจเหมือนวิธีแรก


สั่งซื้อ ผียุโรป เรื่องผีรอบโลก
สั่งซื้อ ผีหลังห้อง เรื่องผีรอบโลก
สั่งซื้อ ผีเอเชีย เรื่องผีรอบโลก
สั่งซื้อ ผีอังกฤษ เรื่องผีรอบโลก
สั่งซื้อ ผีหอพัก เรื่องผีรอบโลก
สั่งซื้อ ผีไทย เรื่องผีรอบโลก
สั่งซื้อ ผีจีน เรื่องผีรอบโลก
สั่งซื้อผีรัสเซียเรื่องผีรอบโลก
สั่งซื้อผีอเมริกัน ผีรอบโลก
สั่งซื้อ ผีญี่ปุ่น เรื่องผีรอบโลก
สั่งซื้อ ผีเพื่อนเฮี้ยน
สั่งซื้อ ผีข้างบ้าน
สั่งซื้อ ผีโรงพยาบาล
สั่งซื้อ ผีโรงเรียน รอบโลก
สั่งซื้อวิธีหลอนเรียกผี
สั่งซื้อ เรื่องเฮี้ยนเขย่าขวัญ


รีวิวหนังสือชุด เรื่องผีๆ รอบโลก



บทความแนะนำ

        10 สุดยอดเรื่องเล่าสยองขวัญเดอะช็อค วิวาห์สังหารในอินเดีย ฆาตกรต่อเนื่อง 20 ศพ เดวิด เบอร์โควิทซ์ ฆาตกรต่อเนื่องแห่งนิวยอร์ค วิเคราะห์นิยายเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ (The Lord of the rings)              คดีวิตถาร ครูสาวทำช็อคฆ่าข่มขืนนักเรียนหญิง แคทเธอรีน เฮย์ ต้นตำรับคดีฆ่าหั่นศพ มฤตยูในสายน้ำ แมงกะพรุนกล่อง 10 อันดับฆาตกรเด็ก        


ดูบทความเมนูอาหารทั้งหมด ดูบทความภัยอันตรายทั้งหมด ดูบทความสุขภาพทั้งหมด ดูบทความวิทยาศาสตร์ทั้งหมด ดูบทความสยองขวัญทั้งหมด ดูบทความชีวิตสัตว์ทั้งหมด ดูบทความประวัติศาสตร์ทั้งหมด ดูบทความจัดอันดับทั้งหมด สารบัญบทความ


ทานกลูต้าไธโอนให้ปลอดภัยและได้ผล

ทานกลูต้าไธโอนให้ปลอดภัยและได้ผล

ในวันนี้เรามาไขข้อข้องใจเรื่องของกลูต้าไธโอน (Glutathione) กันค่ะ สาวๆ หนุ่ม ที่อยากจะขาวก็สงสัยกันว่ากลูต้าไธโอนนั้นช่วยให้ผิวขาวได้จริงมั้ย เรามาสอบถามคุณหมอ แพทย์หญิงนลินี ไพบูลย์กันค่ะ

กลูต้าไธโอนคืออะไร
กลูต้าไธโอนนั้นคือเนเชอรัลแอนตี้ออกซิแดนท์ (Natural Antioxidant) หรือสารต้านอนุมูลอิสระตามธรรมชาติ ไม่ใช่สารสังเคราะห์ทางเคมีอย่างที่เราคิดกัน หมายถึงว่าในร่างกายของคนเรานี้ในเซลล์มีกลูต้าไธโอน และร่างกายของเราสามารถสร้างเองได้ ในอาหารก็มีสารกลูต้าไธโอน ไม่ว่าจะเป็น ไข่ นม ผัก ผลไม้ บร็อคโคลี่ ผักโขม หน่อไม้ฝรั่ง มีทั้งนั้น

กลูต้าไธโอนนั้นมีหน้าที่สำคัญอยู่สามอย่าง
1. เป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ต้านความเสื่อม
2. ช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน หรืออิมมูน Immune
3. เป็นตัว detoxification คือเป็นตัวช่วยทำลายสารพิษให้กับตับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตับที่ถูกทำลายด้วยแอลกอฮอล์จากการดื่มสุรา หรือคนที่ทานยาพาราเซตามอลมากๆ

จริงๆ แล้ว ในการนำกลูต้าไธโอนมาใช้เริ่มต้นนั้นไม่ได้นำมาทำให้ขาว แต่นำมาใช้ในทางการแพทย์ โดยนำมารักษาคนไข้ที่เป็นพาร์คินสัน ผู้สูงอายุที่มีอาการมือสั่น เนื่องมาจากมีการค้นพบว่าผู้ป่วยโรคพาร์คินสันมีระดับกลูต้าไธโอนในสมองต่ำมาก ต่อมาก็มีนำมาใช้เพื่อช่วยในผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย เพราะว่าระดับของกลูต้าไธโอนก็ต่ำด้วย แพทย์ได้นำมาฉีดเพื่อรักษาโรคเหล่านี้ แต่ทีนี้มีการสังเกตว่าคนไข้เหล่านี้เมื่อฉีดกลูต้าไธโอนเข้าไปแล้วผิวขาวขึ้น เลยได้มีการศึกษาเจาะลึกลงไปอีกก็พบว่า กลูต้าไธโอนมีฤทธิ์ต่อต้านเอนไซม์ไทโรซิเนส (Tyrosinase) ซึ่งเอนไซม์ตัวนี้เป็นตัวสร้างเม็ดสีผิว เม็ดสีผิวของคนเรานั้นมีอยู่สองชนิดคือ เม็ดสีน้ำตาลดำ เป็นตัวที่ทำให้ผิวมีสีเข้ม กับเม็ดสีน้ำตาลอ่อนปนสีชมพูหรือสีออกส้มซึ่งในคนยุโรปหรือคนที่อยู่แถบหนาวจะมีเม็ดสีนี้ที่ทำให้ผิวดูขาว สารกลูต้าไธโอนนี้จะไปยับยั้งการสร้างเม็ดสีน้ำตาลดำ ส่งผลให้คนไข้ที่ได้รับสารกลูต้าไธโอนนี้จะมีสีผิวที่ขาวขึ้น

ในปัจจุบันการนำกลูต้าไธโอนมาใช้มีหลากหลายวิธี รวมถึงการฉีด ซึ่งเป็นวิธีการที่อันตรายมากเพราะเป็นการฉีดเข้าเส้นเลือด ในการฉีดยาใดๆ ก็ตามไม่ว่าจะเป็นยาอะไรนั้นไม่ควรจะฉีดในสถานที่ที่ไม่ปลอดภัยและไม่ควรจะฉีดกับบุคคลากรที่ไม่มีความรู้หรือผู้เชี่ยวชาญเพียงพอ ซึ่งตัวคนที่ถูกฉีดกลูต้าไธโอนเข้าไปนั้นอาจจะแพ้ตัวกลูต้าไธโอนเอง หรือแพ้สารวัตถุกันเสียที่อยู่ในตัวยา ซึ่งถ้าคนที่แพ้มากๆ แล้วได้รับยาไปในปริมาณมากๆ อย่างรวดเร็วอาจจะทำให้เกิดการช็อก อาจจะถึงขั้นเสียชีวิตได้ ซึ่งมีรายงานในต่างประเทศว่ามีคนเคยฉีดกลูต้าไธโอนแล้วไตวาย ซึ่งทางองค์การอาหารและยา หรือ อย.ของประเทศไทยไม่รับรองการฉีดกลูต้าไธโอน

กลูต้าไธโอนในรูปแบบของการรับประทานนั้น ทางอย.ของประเทศไทยนั้นอนุญาต แต่ว่าก็ต้องอยู่ในปริมาณที่เหมาะสม ที่แต่ละโดสไม่เกิน 250 มิลลิกรัม ซึ่งในการทานที่เหมาะสมก็คือวันนึงไม่ควรเกิน 500 มิลลิกรัม และให้แบ่งทานโดยต่อหนึ่งครั้งไม่ควรเกิน 250 มิลลิกรัม ซึ่งการทานเป็นระยะเวลานานๆ นั้นยังไม่มีรายงานว่าเป็นอันตรายใดๆ และมีการวิจัยของทางคณะแพทย์ศาสตร์จุฬา โดยใช้นิสิตแพทย์ 60 คน เป็นอาสาสมัครทานกลูต้าไธโอน โดยให้ทานเวลาเช้าเป็นปริมาณ 250 มิลลิกรัม เวลาเย็น 250 มิลลิกรัม ทานต่อเนื่องไปประมาณ 4 อาทิตย์ ก็พบว่ามีสีผิวขาวขึ้นจากการวัดด้วยเครื่องตรวจค่าสีผิว

คนที่รับประทานกลูต้าไธโอนอย่างปลอดภัยนี้ไม่ใช่ว่าจากผิวดำมาเป็นผิวขาวจั๊ว แต่ก็จะมีผิวที่ขาวขึ้นมาได้ประมาณ 2 เลเวล คือผิวจะดูสว่างขึ้นได้ด้วยการที่เม็ดสีผิวชนิดน้ำตาลดำนั้นจะน้อยลง แล้วเม็ดสีผิวชนิดน้ำตาลอ่อนอมชมพูมันมากขึ้น คือดูผิวใสและผ่องขึ้น

ที่มาจากรายการสโมสรสุขภาพ



ปรับผิวขาวขึ้น สุขภาพดี
รับเม็ดสีเมลานิน ด้วยกลูต้าแท้จากประเทศญี่ปุ่น
ลดสิว และ ปัญหาผด ผื่น
ช่วยลด และ ป้องกันปัญหา ฝ้า
ต่อต้านอนุมูลอิสระ ริ้วรอยช่วยลดปัญหาผิวด่าง กระด้าง
คืนความชุ่มชื่น ให้ผิวเด้งอิ่มน้ำ ดูขาวใส มีออร่า
รอยหลุม แผลเป็น จากสิวดูตื้นขึ้น ช่วยให้ผิวลื่น นุ่ม น่าสัมผัส

รีวิวจากลูกค้าที่ทานแล้ว
"กินมาก็เยอะน่ะมาเจอตัวนี้โอเคมากเลย เปิดกระปุกมาก็หอมมากจากที่เป็นคนผิวแห้งๆไม่ชอบทาครีมกินตัวนี้ไปรู้สึกชุ่มชื่นขึ้นประทับใจมากคะฝ่าลดลงแต่งหน้าแล้วดูไม่ลอยด้วยนะ ใช้ดีเลยมาบอกต่อนะคะ"

"ผิวลื่นขึ้นแต่งหน้าติด แก้มมีเลือดฝาดด้วยชอบมากคะ"

"ขาวไวมากจุดด่างดำจางลงเร็วด้วย เป็นกลูต้าที่กินแล้วดีสุดๆ กลิ่นหอม"

"ขาวไวมากคะไม่ได้ขาวแบบโบะๆด้วยคือผิวขาวแบบสดใสดูอมชมพูด้วยแก้มออกชมพูมีเลือดฝาด แถมสิวยุบเร็วมากคะกิน2เม็ดก่อนนอนวันที่มีสิวตื่นมาสิวยุบเลย และหอมด้วยเป็นตัวที่กินแล้วดีมี่สุดที่กินมาเลยคะ" 

"ดีคะ รุ้สึกผิวนุ่มชุ่มชื่นขึ้นมากเลยคะ"

ดูรีวิวเพิ่มเติมคลิกเลย

กลูต้าไธโอนทำให้ผิวขาวจริงหรือ

กลูต้าไธโอนทำให้ผิวขาวจริงหรือ
กลูต้าไธโอน เป็นสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกายที่มีกำลังสูงเมื่อเทียบกับวิตามินซีหรือวิตามินอี จึงมีผู้นำกลูต้าไธโอนมาใช้เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารหรือใช้ฉีดเพื่อให้ผิวขาว โดยอาศัยกลไกการออกฤทธิ์ดังนี้


กลูต้าไธโอนสามารถยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส (Tyrosinase) และส่งผลให้เม็ดสีของผิวหนังเปลี่ยนจากเม็ดสีน้ำตาลดำ (ยูเมลานิน พบมากในคนเอเชียและนิโกร) เป็นเม็ดสีชมพูขาว (ฟีโอเมลานิน พบในคนตะวันตก) ซึ่งการกินยาหรือฉีดสารกลูต้าไธโอนมีผลทำให้สีผิวจางลงในระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น เมื่อหยุดการใช้ สีผิวก็จะกลับมาคล้ำเช่นเดิม ดังนั้นก่อนที่จะรับสารกลูต้าไธโอนเข้าร่างกาย ไม่ว่าจะกินหรือฉีด จึงควรศึกษาข้อมูลให้ละเอียดและคำนึงถึงผลข้างเคียงที่มีต่อสุขภาพ เพราะอันที่จริงการมีผิวคล้ำก็มีข้อดีเช่นกัน คือสามารถป้องกันแสงยูวีได้ และที่สำคัญคนที่มีผิวคล้ำมีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนังน้อยกว่าคนผิวขาวด้วยซ้ำไป

ลักษณะการใช้กลูต้าไธโอนเพื่อผิวขาว

กลูต้าไธโอนที่พบในท้องตลาดส่วนใหญ่นั้น มักอยู่ในรูปผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทั้งแบบยาเม็ดและผงละลายน้ำสำหรับดื่ม ซึ่งในความเป็นจริงมีผลทำให้ผิวขาวน้อยมาก เพราะสารชนิดนี้จะดูดซึมได้เล็กน้อยและถูกขจัดออกจากร่างกายในที่สุด ดังนั้นประโยชน์ที่จะได้รับจากการทานกลูต้าไธโอนในรูปแบบอาหารเสริมนั้นแทบไม่มีเลย

ต่อมาพบว่ามีผู้นำกลูต้าไธโอนในรูปแบบยาฉีดมาใช้แทนการเสริมอาหาร ดัดแปลงโดยการผสมกับวิตามินซีแล้วฉีดเข้าเส้นเลือดดำหรือกล้ามเนื้อครั้งละ 600 มิลลิลิตร และเนื่องจากผิวที่ขาวขึ้นด้วยกลูต้าไธโอนนั้นเป็นผลข้างเคียงของยาที่เกิดขึ้นชั่วคราว หากต้องการให้ผลคงอยู่ตลอดไป จำเป็นที่จะต้องได้รับการฉีดซ้ำเป็นระยะ ทำให้เกิดการสะสมยาในร่างกายมากขึ้น และอาจก่อให้เกิดอันตรายในระยะยาวได้เช่นกัน

นอกจากนี้การฉีดยาจำเป็นต้องกระทำโดยผู้ประกอบวิชาชีพที่เชี่ยวชาญเท่านั้น เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างการให้ยา เช่น การฉีดยาในอัตราที่เร็วเกินไป การติดเชื้อในกระแสเลือดจากเครื่องมือที่ไม่สะอาด การเกิดฟองอากาศอุดตันหลอดเลือด เนื่องจากผู้ฉีดยาไล่ฟองอากาศในเข็มไม่หมด เป็นต้น ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้สามารถส่งผลกระทบที่รุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้

ปัจจุบันสำนักงานอาหารและยา หรือ อย. ยังไม่มีการขึ้นทะเบียนรับรองการใช้กลูต้าไธโอนเพื่อผิวขาวแต่อย่างใด และได้ประกาศห้ามใช้เนื่องจากกลูต้าไธโอนทั้งแบบทานและฉีดมีปริมาณกลูต้าไธโอนสูงถึง 500 - 1,000 มิลลิกรัม ซึ่งมากกว่าปริมาณที่แพทย์อนุญาตให้ผู้ป่วยใช้คือไม่เกิน 250 มิลลิกรัมต่อวัน และอาจทำให้แพ้ยาจนช็อกถึงขั้นเสียชีวิตเฉียบพลัน หรือส่งผลในระยะยาวเช่น สะสมในร่างกายที่ตับ หรือทำให้ไตต้องทำงานหนักในการกำจัดปริมาณที่สูง ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งผิวหนังเนื่องจากผิวที่ไวต่อแสงแดดเพราะเม็ดสีผิวถูกทำลาย

ที่มา นิตยสาร LIVE




ปรับผิวขาวขึ้น สุขภาพดี
รับเม็ดสีเมลานิน ด้วยกลูต้าแท้จากประเทศญี่ปุ่น
ลดสิว และ ปัญหาผด ผื่น
ช่วยลด และ ป้องกันปัญหา ฝ้า
ต่อต้านอนุมูลอิสระ ริ้วรอยช่วยลดปัญหาผิวด่าง กระด้าง
คืนความชุ่มชื่น ให้ผิวเด้งอิ่มน้ำ ดูขาวใส มีออร่า
รอยหลุม แผลเป็น จากสิวดูตื้นขึ้น ช่วยให้ผิวลื่น นุ่ม น่าสัมผัส

รีวิวจากลูกค้าที่ทานแล้ว
"กินมาก็เยอะน่ะมาเจอตัวนี้โอเคมากเลย เปิดกระปุกมาก็หอมมากจากที่เป็นคนผิวแห้งๆไม่ชอบทาครีมกินตัวนี้ไปรู้สึกชุ่มชื่นขึ้นประทับใจมากคะฝ่าลดลงแต่งหน้าแล้วดูไม่ลอยด้วยนะ ใช้ดีเลยมาบอกต่อนะคะ"

"ผิวลื่นขึ้นแต่งหน้าติด แก้มมีเลือดฝาดด้วยชอบมากคะ"

"ขาวไวมากจุดด่างดำจางลงเร็วด้วย เป็นกลูต้าที่กินแล้วดีสุดๆ กลิ่นหอม"

"ขาวไวมากคะไม่ได้ขาวแบบโบะๆด้วยคือผิวขาวแบบสดใสดูอมชมพูด้วยแก้มออกชมพูมีเลือดฝาด แถมสิวยุบเร็วมากคะกิน2เม็ดก่อนนอนวันที่มีสิวตื่นมาสิวยุบเลย และหอมด้วยเป็นตัวที่กินแล้วดีมี่สุดที่กินมาเลยคะ" 

"ดีคะ รุ้สึกผิวนุ่มชุ่มชื่นขึ้นมากเลยคะ"

ดูรีวิวเพิ่มเติมคลิกเลย

กลูต้าไธโอนเพื่อผิวขาว ทางเลือกที่ไม่น่าเสี่ยง

กลูต้าไธโอนเพื่อผิวขาว ทางเลือกที่ไม่น่าเสี่ยง
ช่วงหน้าร้อนที่ผ่านมา หากผู้เขียนจะบอกว่าอากาศร้อนได้ใจคงไม่มีใครคัดค้าน แถมแสงแดดยังแผดเผาจนทำให้รู้สึกเหมือนปลาสลิดหรือเนื้อแดดเดียว ทุกครั้งที่ต้องเดินออกมาทำธุระหรือหาอาหารกลางวันกินจะเห็นแฟชั่นร่มบานสะพรั่ง คนไทยส่วนใหญ่ (โดยเฉพาะสาวๆ) มักจะเห็นแสงแดดเป็นคู่ปรับตลอดกาล เพราะต่างก็อยากจะมีผิวขาวใส ครีมกันแดดและไวท์เทนนิ่งล้วนแต่ขายดี ถึงขั้นมีผลิตภัณฑ์ทั้งแบบกิน (ทีีมักโฆษณาเกินจริงหรือให้ข้อมูลไม่ครบถ้วน) และแบบฉีด (ที่กฎหมายบ้านเราแน่นอน) ให้ผิวขาว สารสำคัญที่นิยมใช้และหลายคนอาจจะคุ้นหูคือ กลูต้าไธโอน ฉบับนี้เราจึงจะมาตามล่าหาความจริงเรื่องนี้กัน


สีผิวและสารเมลานิน

ก่อนที่เราจะเข้าถึงประเด็นที่ว่ากินอะไรแล้วผิวขาว เราต้องรู้ก่อนว่าสีผิวของคนนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร ทำไมชาวตะวันตกจึงผิวขาว แล้วคนเอเชียผิวออกคล้ำไปจนถึงผิวเข้มแบบชาวแอฟริกา สีผิวของมนุษย์เกิดจากสารให้สีหรือเม็ดสีที่เรียกว่า เมลานิน (Melanin) สารนี้ถูกสร้างโดยเซลล์ชื่อเมลาโนไซด์ (Melanocyte) ในหนังกำพร้าชั้นล่างสุด โดยสารเมลานินจะแบ่งเป็น 2 ชนิด ด้วยกันคือ ฟีโอเมลานิน (Pheomelanin) ซึ่งมีขนาดเล็หและสีอ่อน และยูเมลานิน (Eumelanin)ซึ่งขนาดใหญ่กว่าและสีเข้ม ในผิวหนังของกลุ่มชนผิวขาวจะมีฟีโอเมลานินมากกว่ายูเมลานิน ผิวจึงมีสีอ่อนในทางกลับกลุ่มคนเอเชียอย่างคนไทยเรา จะมียูเมลานินมากกว่าฟีโอเมลานิน ผิวจึงออกสีน้ำตาลอ่อน นอกจากนี้ คนผิวสีเข้มมากจะมีการสร้างเมลานินมากกว่า และเมื่อสร้างขึ้นมาแล้วจะถูกทำลายช้ากว่าด้วย ส่วนประกอบอื่นของผิวหนังก็มีผลต่อสีผิวด้วย ได้แก่ เส้นเลือด สารให้สีชนิดอื่น เช่น พวกแคโรทีนอยด์ทำให้ผิวออกสีเหลือง เห็นได้ชัดเวลาที่ใครกินมะละกอสุกปริมาณมากอย่างต่อเนื่อง จะเริ่มสังเกตุเห็นผิวพระสังข์ ถ้าหยุดกินหรือกินน้อยลงสีเหลืองจะจางลงเอง


คำถามต่อไปคือแล้วทำไมผิวหนังเราต้องมีเมลานินหน้าที่ของสารเมลานินนอกจากให้สีแก่ผิวยังมีหน้าที่ที่เกี่ยวเนื่อง หน้าที่หลักคือการกรองรังสียูวีจากแสงแดดไม่ให้มาทำร้ายเซลล์หรือส่วนประกอบของร่างกายที่อยู่ลึกลงไป ช่วยกระจายแสงและยังสามารถต้านอนุมูลอิสระได้อีกด้วย ดังนั้น จึงจะเห็นว่าสารเมลานินมีความจำเป็นต่อร่างกายของเรา


กลูตาไธไอนคืออะไร

คราวนี้มารู้จักกลูตาไธโอน (Glutathione) เป็นสารเปบไทด์ที่เกิดจากกรดอะมิโน 3 ชนิดมารวมกัน ได้แก่ ซิสเตอิน (Cysteine) กรดกลูตามิก (Glutamic acid) และไกลซีน (Glycine)ร่างกายสามารถได้เองจากโปรตีนที่กินเข้าไปในแต่ละวัน และยังสามารถได้รับจากอาหารที่เป็นแหล่งของสารนี้ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อสัตว์ ปลา ไข่ นม และพืชผักต่างๆ โดยมีมากในผลอโวคาโด หน่อไม้ฝรั่ง แตงโม และวอลนัท ถึงแม้ว่าจะดูดซึมได้ไม่ดีนัก กลูต้าไธโอนมีหน้าที่สำคัญเกี่ยวกับการกไจัดสารพิษออกจากร่างกาย ผ่านการสร้างเอนไซม์ที่ช่วยทำให้สารพิษละลายน้ำได้ดีขึ้นและกำจัดออกไปได้ง่ายเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ กระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย ช่วยเสริมการดูดซึมวิตามินบางชนิด เช่น วิตามินซี วิตามินอี เป็นต้น รวมทั้งช่วยปกป้องตับจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ ผู้ที่มีสุขภาพดีจะไม่ขาดกลูตาไธโอนจะพบการขาดบ้างในผู้ป่วยโรคเบาหวานโรคตับ โรคความดันโลหิตสูง โรคเอดส์ เป็นต้น รวมทั้งในคนที่สูบบุหรี่จัด


กลูต้าไธโอนกับสีผิว

รู้จักสารเมลานินและกลูตาไธโอนแล้ว จะเห็นว่าสารแต่ละตัวมีหน้าที่ที่สำคัญในร่างกายของคนเรา แต่ไม่เกี่ยวข้องกันโดยตรง คราวนี้ทำไมจึงมีความสนใจหรือมีการฉีดกลูตาไธโอนให้ผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายเพื่อสร้างภูมิต้านทาน แล้วพบว่าผู้ป่วยมีสีผิวจางลง โดยคำอธิบายคือเมื่อร่างกายได้รับกลูต้าไธโอนในปริมาณมาก จะไปยับยั้งการสร้างภูมิต้านทาน แล้วพบว่าผู้ป่วยมีสีผิวจางลง โดยคำอธิบายคือเมื่อร่างกายได้รับกลูต้าไธโอนในปริมาณมาก จะไปยับยั้งการสร้างยูเมลานิน (เมลานินดม็ดสีเข้ม) และเปลี่ยนไปสร้างฟีโอเมลานิน (เมลานินเม็ดสีอ่อน) เพิ่มขึ้น ผิวจึงดูขาวขึ้น แต่ประเด็นที่สำคัญที่สุดคือผลดังกล่าวนี้เป็นผลชั่วคราวเท่านั้น เมื่อเวลาล่วงไปการผลิตเมลานินทั้ง 2 ชนิดจะกลับมาเหมือนปกติ


ความเสี่ยงจากการได้รับในปริมาณสูง

ดังที่กล่าวแล้วว่าผลจากการได้รับกลูต้าไธโอนนั้นไม่ถาวร ปัญหาจึงเกิดขึ้น ได้จากปัจจัย 2 ประการคือ การได้รับในปริมาณมากและการที่ต้องใช้ต่อเนื่องเป็นเวลานานๆการที่ร่างกายสร้างเม็ดสีน้อยลง เท่ากับว่าเรามีเมลานินที่จะช่วยป้องกันเราจากรังสียูวีน้อยลง ทำให้เซลล์เกิดการเสื่อมเร็วขึ้นอาจมีอันตรายต่อเซลล์และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งผิวหนัง อวัยวะอีกส่วนหนึ่งที่อาจได้รับผลกระทบคือ จอ (นัยน์)ตา เมื่อจอตามีเม็ดสีน้อยลง ด้วยและเสี่ยงต่อการมองไม่เห็นในระยะต่อไป นอกจากนี้ในประเทศญี่ปุ่นยังเคยมีรายการแพ้กลูตาไธโอนจาการฉีดจนเสียชีวิต


ในประเทศไทยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)อนุญาตให้ใช้กลูตาไธโอนเฉพาะเป็นส่วนผสมของผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ส่วนมากใช้ร่วมกับวิตามิน เช่น วิตามินซี ไม่อนุญาตให้ใช้เป็นยากินหรือยาฉีดเข้าร่างกาย

การมีสีผิวแตกต่างกันของกลุ่มชนที่อาศัยอยู่ในบริเวณต่างๆ ของโลก น่าจะเป็นการจัดการของธรรมชาติให้คนเหล่านั้นมีสภาวะที่เหมาะสมกับภูมิประเทศและภูมิอากาศ การเปลี่ยนแปลงสีผิวอาจทำให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดีจึงไม่ควรจริงจังกับเรื่องของความสวยความงามจนเกินไป เพราะเราก็ทราบกันอยู่แล้วว่าเป็นสิ่งที่ไม่จีรัง ทางที่ดีควรให้ความสำคัญกับการมีสุขภาพดีและการรักษาสุขภาพอนามัยอย่างเหมาะสมจะดีกว่า

ที่มา นิตยสารแม่บ้าน

Trump: Is he unfit for office?

After a series of shocking revelations engulfed Donald
Trump’s presidency this week, said David Brooks in The
New York Times, there can no longer be any doubt: Our
nation is being “led by a child.” The common thread
linking Trump’s sharing of highly classified intelligence
with Russia and his firing of FBI Director James
Comey is the president’s impulsiveness and sheer
“immaturity.” Trump reportedly blabbed topsecret
information to the Russian officials visiting
the Oval Office not for strategic reasons, but
just to impress them, like a “7-year-old boy desperate
for the approval of those he admires.”
He fired Comey because, as he admitted in an
interview, he got tired of seeing that “showboat”
on TV, talking about the Russia investigation. “None of
these disastrous decisions was part of a deliberate plan,” said
Anne Applebaum in WashingtonPost.com. “Each one was made
because of the president’s willful ignorance, impulsiveness, and
inexperience.” But can anyone really be surprised? Last August, 50
Republican national security experts warned that the ill-informed,
thin-skinned Trump “lacks the character, values, and experience”
to lead the nation. Nearly four months into this disastrous experiment,
it’s clear they were right.
“There is clearly something wrong with Trump,” said David
Roberts in Vox.com. His chaotic, scandal-plagued few months in
office have exposed him as an “extreme narcissist” haunted by “a
gnawing sense of inadequacy” and driven by his hunger for “adulation,
admiration, and reinforcement for his hypersensitive ego.”
Denied it, he becomes “incredibly vengeful.” Trump has no real
agenda or core beliefs, except a hunger to dominate others; no one
can trust him. “He is a raging fire of need, shaped by a lifetime of
entitlement, with the emotional maturity and attention span of a
6-year-old.” To put it more simply, said Andrew Sullivan in
NYMag.com, the president is flat-out “off his rocker.”
Pay no attention to the “armchair diagnosers,” said Cullen
Herout in TheFederalist.com. It’s no coincidence that those
now speculating aloud about various psychiatric
conditions afflicting President Trump—from
“malignant narcissism” to Alzheimer’s disease—
also loathe him on ideological grounds. Their
concern about his mental health “rings hollow.”
As for the speculation that Trump is showing
signs of age-related decline, said Tony Schwartz
in The Washington Post, I see no difference
between the Trump of today and of 30 years
ago, when I wrote The Art of the Deal for him. Then as now, he
was a desperately needy guy who saw every human encounter “as
a contest he had to win” by any means necessary, and “damn the
consequences.”
Whatever the state of Trump’s mental health, said Ross Douthat
in NYTimes.com, he just isn’t up to the job. Even his inner circle
now report a constant struggle to keep him focused on the task
at hand, and to curb his self-destructive impulses, as if they were
“stewards for a syphilitic emperor.” The 25th Amendment to the
Constitution provides a mechanism for removing a president who
is “unable to discharge the powers and duties of his office,” and
it’s time for Congress to apply that remedy. I agree that Trump isunfit for the presidency, said Charles Cooke in NationalReview
.com, but for Washington elites to depose him on such “nebulous
grounds” would enrage the tens of millions of Americans who
voted Trump into office. They’d see it, not without justification,
as a coup, and the result would be rage and turmoil “the likes of
which we have not seen in a while.”


Trump’s intelligence sharing with Russia

President Trump’s already strained relationship
with the U.S. intelligence services took
another blow this week after it was reported
that he had disclosed highly classified information
about an ISIS plot to Russian diplomats
visiting the White House. During the
Oval Office meeting with Russian Foreign
Minister Sergey Lavrov and the Kremlin’s
ambassador to the U.S., Sergey Kislyak,
Trump revealed that ISIS had used stolen airport
security equipment to test a bomb that
could be hidden in a laptop and sneaked into
an airplane cabin, U.S. intelligence officials
told NBC News. The president also disclosed
the name of the city where the intelligence
was gathered. “I get great intel,” Trump told the Russians, according
to The Washington Post. The intelligence, reportedly gathered
by Israel, was meant for U.S. eyes only. Given the clues Trump provided,
Russia could easily identify the source of the information, a
former U.S. intelligence official told the Post. Countries will “think
twice before sharing sensitive information after an event like this,”
said Michael Herzog, a former Israeli intelligence officer. Trumpdefended his revelation of the plot, saying on Twitter that he had
“the absolute right” to do so and that he’d wanted to persuade the
Russians “to greatly step up their fight against ISIS.”
Senate Minority Leader Chuck Schumer said it was no longer clear
whether Trump could be trusted with the nation’s “most closely
kept secrets,” and called on the White House to release a transcript
of the meeting. Russian President Vladimir Putin said that if Trumpconsented, he would hand over Lavrov’s transcript. Republican
members of Congress expressed dismay over the incident. The White
House, said Sen. Bob Corker, is “in a downward spiral right now.”

As president, “Trump has the legal authority to share intelligence
with pretty much whomever he wants,” said the Los Angeles Times.
But that doesn’t make his blabbing “right or smart.” If Israel and
other allies stop sharing sensitive information about terrorist plots
with the U.S., American lives will be put in danger. It’s ironic that
Trump came to power partly by claiming that his opponent “had so
badly mishandled classified information that she deserved to go to
jail.” What should we think now that the
president has been accused of releasing critical
state secrets?
Evidently the president “said too much
out of carelessness or bravado,” said the
Washington Examiner. Trump simply can’t
grasp the gravity of the situation. “When
he was merely a billionaire celebrity real
estate developer he could afford to throw
his weight around or be indiscreet.” But
now Trump’s “every word carries immense
clout,” something “Republicans, conservatives,
and patriots of all stripes” need to
make sure he understands.

Trump has done nothing wrong, said Ted Galen Carpenter in
TheAmericanConservative.com. His critics are so consumed by
“anti-Russia hysteria” that they can’t understand why the president
might have thought it important to discuss the plot with Lavrov and
Kislyak. “Russia has been the victim of Islamic terrorist attacks on
several occasions and is a de facto ally in the war against ISIS.” By
informing Moscow about this new jihadist threat, the U.S. is more
likely to secure the Kremlin’s cooperation in tackling other international
challenges like North Korea.
But “Russia is an enemy” of the U.S. and Israel, said Alan Dershowitz
in TheHill.com. Putin backs Syria’s genocidal leader, Bashar al-
Assad, and is good friends with the mullahs who rule Iran and their
Lebanese terrorist puppet, Hezbollah. Assad, Iran, and Hezbollah
are all violently anti-American and committed to the destruction of
the Jewish state. Whatever intelligence Trump provided Russia might
“end up in the hands of these enemies of peace and stability.”
Still, “this doesn’t look like collusion with the Russians,” said Eli
Lake in Bloomberg.com. “Collusion” suggests that the information
shouldn’t be shared, but we do want the Russians to know about
terrorist threats against airlines—just as long as intelligence is passed
along carefully. Indeed, “both of Trump’s predecessors pursued
sensitive counterterrorism partnerships with Putin.” Yet there’s little
comfort to be found in the most likely explanation for this momentous
gaffe: “The president is bad at his job. Stupid trumps sinister.”